วงดนตรีพันล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, February 27, 2009 08:1526736 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
"ห้ามพูดเรื่องงาน ! ในนี้ มีแค่ดนตรี" เสียงตะโกนล้อ ดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของห้องซ้อมดนตรี "ปราชญ์มิวสิค" ย่านอาร์ซีเอ เมื่อ "มือเบส" ของวง BTS ต้น-นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา เพิ่งจะฝ่าดงรถติด ในสภาพเหนื่อยซ่ก กรรมการผู้จัดการบริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) โอดครวญว่า ที่มาถึงทีหลัง เพราะ "วันนี้ต้องรีบปิดงบฯ บริษัท ส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยุ่งทั้งวัน" ต่างคนในวง ต่างเข้าใจหัวอก "เดียวกัน" เพราะชีวิตประจำวันของนักดนตรีวงนี้ เป็นซีอีโอ ที่งานยุ่ง นั่งหัวโต๊ะบริหารธุรกิจที่มีขนาดรายได้ ตั้งแต่หลายร้อยล้าน ไปจนถึงหลักพันล้านบาท นอกจากผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมนวนครอย่าง ต้น-นิพิฐ ยังมีตำแหน่ง มือกีตาร์ บอย-อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู (แอล-พี) จำกัด. สาน-ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจเม็ททอล จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจสเตนเลส หุ้น LHK ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พ่วงด้วยสมาชิก "มือคีย์บอร์ด" ของวง หมอท็อป-น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนั้นยังติดประชุมอยู่ที่ทำเนียบปลีกตัวมาซ้อมไม่ได้ ถึงจะแบกรับความรับผิดชอบบนบ่ากันมากมายขนาดไหน แต่ถ้าใครได้เห็นสีหน้าของพวกเขา ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น และทุกคนเฮ้วสนุกสุดเหวี่ยงไปกับเครื่องดนตรีคู่ใจ พลอยสัมผัสได้ถึงความสุข และรอยยิ้มที่เกิดขึ้นในห้องซ้อมดนตรีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทุกๆ บ่ายวันเสาร์ ที่สมาชิกในวงจะขอไฟเขียวจากภรรยา และลูกๆ มาเล่นดนตรีด้วยกัน เป็นอย่างนี้ติดต่อกัน 4 ปี มาแล้ว และยิ่งซ้อมหนักเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมขึ้นเวทีใหญ่ เป็น "วงน้องใหม่" ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่มีวงดนตรีคนดัง หลากหลายวงการ หัวใจรักดนตรี มาขึ้นเวทีประชันกัน 3 วันติดต่อกัน สุดสัปดาห์นี้ ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม "เวลาที่ได้เล่นดนตรีด้วยกัน มันมีปีติจริงๆ มีความสุข เหมือนโลกทั้งโลกเป็นของเรา เหมือนคนชอบร้องเพลง เพื่อนจะสะกิดยังไงก็ไม่ยอมลง" ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ เริ่มต้นคุยอย่างเฮฮา บอย-อนุรุธ ว่องวานิช อยู่ข้างๆ ส่งเสียง "ใช่ๆๆ" ประกอบ ก่อนจะเสริมว่า "คนเราพออายุมากขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น บางครั้งช่วงเวลาสนุกในชีวิตจะหายไป แต่ความเครียดจะมีอยู่ตลอด เวลาที่ได้เล่นเพลงที่เราชอบ มันเหมือนกับได้ระบาย" ไม่อย่างนั้น กีตาร์สารพัดรุ่นคุณภาพเสียงชั้นเยี่ยม ที่แต่ละคนอุตส่าห์ซื้อหามาสะสมไว้นับสิบตัว กีตาร์บางตัวลงทุนหิ้วมาจากเมืองนอก คงได้แต่นอนนิ่งๆ เหงาๆ อยู่ที่บ้าน "ชีวิตนักธุรกิจงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้าปลีกตัวมาเล่นดนตรีได้ นั่นก็คือแบ่งเวลาได้ บริหารชีวิตเป็น...เป็นวิธีที่เราจะชนะตัวเอง" ประสาน ให้แง่คิด ดูจากภาพลักษณ์ผู้บริหารเต็มตัว ของสมาชิกแต่ละคนในวง BTS (ย่อมาจากชื่อเล่น บอย-ต้น-สาน) ตี๋ๆ ใส่แว่นตา ดูเรียบร้อย ท่าทางเอาจริงเอาจัง ยิ่งภาพที่ใครๆ มอง บอย อนุรุธ ในตำแหน่งนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยด้วยแล้ว แทบคาดไม่ถึงว่าวง BTS ของพวกเขา จะเล่นเพลงแนวร็อค และไม่ใช่ร็อคธรรมดา แต่เป็น Heavy Metal Rock !!! เสียด้วย "อย่าดูกันที่ภายนอก ว่าชอบร็อคต้องออกแนวฮาร์เล่ย์ ฮิปปี้ เป็นนักธุรกิจอย่างพวกผม ชอบร็อคกันก็เยอะ เพียงแต่เราไม่ได้แสดงออกในแนวนั้น แต่ถ้าเพลงดังขึ้นเมื่อไหร่ ลุกขึ้นนั่นแหละ" ถึงตรงนี้ ประสาน ปล่อยมุกฮาลั่น จริงๆ มีเสื้อหนัง กับโซ่ เหมือนกัน แต่ไม่กล้าโชว์ เป็นอีกมุมความสุขที่ซุกซ่อน เพราะยังอินสุดๆ กับอารมณ์เพลงในยุค 70 ย้อนอดีตไปเมื่อ 30 ปีโน้น สมัย บอย ยังนุ่งยีนส์สุดเก๋า สะพายกีตาร์ สนุกสุดเหวี่ยงอยู่ในวงร็อคแอนด์โรค ที่ไฮสคูลในฮาวาย ส่วนประสาน เฮ้วกับเพื่อนในวง ที่โรงเรียนเซเว่นเดย์ บ่ายสามโมง ต้องมีปาร์ตี้ Tea Dance จ่ายค่าบัตร 60 บาท เต้นกันมันระเบิด ส่วน ต้น-นิพิฐ ถึงจะรุ่นถัดลงมาหน่อย แต่เพราะเล่นดนตรีได้หลากหลายแนว ตั้งแต่เรียน ร.ร.สาธิตฯ และคณะสถาปัตย์จุฬาฯ พอทั้ง 3 คน บอย ต้น สาน คอดนตรีแนวเดียวกัน มาโคจรเจอกันในสมาคม YPO (Young Presidents Organization) ประเทศไทย แหล่งชุมนุมนักธุรกิจรุ่นใหม่ นับแต่นั้นทั้งสามคน เลย "นับญาติ" เป็นเพื่อนซี้ ชวนกันตั้งวง BTS ซึ่งไม่ใช่แค่มาซ้อมกันทุกสัปดาห์ แต่เอาจริงเอาจัง ถึงขึ้นเปิดคอนเสิร์ตกันมาแล้ว 3 ครั้ง เริ่มจากปาร์ตี้เล็กๆ งานวันเกิด อีกครั้งหนึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศล ระดมเงินจากเพื่อนฝูงญาติมิตร 5 แสนบาท ไปช่วยสร้างโรงเรียนเด็กกำพร้าที่ภาคใต้ ครั้งล่าสุด ปีที่แล้ว เพิ่งปิดโรงแรมสยาม @ สยาม โชว์ในงานสังสรรค์สมาชิกนักธุรกิจใน YPO หาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยวัดพระพุทธบาทน้ำพุ "ถ้าซ้อมกันเล่นๆ อย่างเดียว ก็คงไปได้ไม่ถึงไหน แต่การมีคอนเสิร์ต ทำให้มีแรงผลักดันว่าจะต้องเล่นให้ได้ดีที่สุด เราพยายามเล่นดนตรีให้มีความสุขที่สุด และทำอะไรเพื่อสังคมด้วย" ประสาน เล่า ประสบการณ์ที่มากขึ้น ทำให้เริ่มจูนเพลงที่เล่นโชว์ เพื่อให้คนฟังได้มีความสุขกับเสียงเพลงด้วย "เพลงแนวนี้ มันต้องคนชอบจริงๆ นะ ถึงจะฟังได้ ไม่งั้นหนวกหู ทนไม่ไหวเดินหนีเลย แต่ขึ้นเวทีที่เอ็มโพเรี่ยม เกรงใจกระจกหลายบานในนั้น เลยปรับแนวเพลงเป็นแนวป๊อป น่ารักๆ ฟังสบาย" ประสาน หยอกว่า เอาเป็นว่า ผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อของต้น (ดร.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา) ฟังแล้วไม่ลุกหนีกลับบ้าน ลูกค้าที่มาเดินในเอ็มโพเรี่ยม ไม่เดินหนีหาย เพราะงานนี้ศิลปินทั้งวง ทุ่มเทและตั้งใจจริงๆ อยากขึ้นเวทีมอบความสุขให้กับทุกๆ คน ร่วมสนุกสนานกับเสียงดนตรีของพวกเขา และยังมีเสียงร้องเพราะๆ ของ ปริญญา ธรรมวัฒนะ ที่จะมาโชว์ลีลาเป็นนักร้องรับเชิญ กันได้ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม หกโมงเย็น วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้
บรรยายใต้ภาพ 4 นักดนตรีหลักๆ ของวง มีโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ความสุขที่ไม่ขึ้นกับ "ตัวเลขทางการเงิน" ของ สมาชิกวง BTS บอย-อนุรุธ ว่องวานิช, ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ และ นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552
ฉลอง 40 ปี โครงการหลวง
ฉลอง 40 ปี โครงการหลวง
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, February 24, 2009 06:2932716 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
สัมผัสบรรยากาศกาดดอย และผลิตผลจากสถานีเกษตรโครงการหลวง มาไว้ที่กลางกรุงอย่างตระการตา ในงาน "40 ปี โครงการหลวง 4 ทศวรรษ ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก" เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติฉลองครบรอบ 40 ปีโครงการหลวงซึ่งเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2512 โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานพร้อมทอดพระเนตรภายในงาน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งมีทั้งนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดจำหน่ายสินค้าและผลิตผลของโครงการหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา งานนี้ ยังมีไฮไลท์ในค่ำคืนจัดงานวันแรก ที่ลักขณา นะวิโรจน์ ผู้บริหารสยามพารากอน หัวเรือใหญ่ของงาน ขอจำลองบรรยากาศ "กาดดอย" สไตล์ล้านนามาไว้ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์" เชิญแขกผู้มีเกียรติจากหลายแวดวง มาร่วมลิ้มรส การันตีความสดอร่อยของสุดยอดเมนูอาหารจาก 38 ดอยในโครงการหลวง อาทิ เห็ดน้ำแดงจากโครงการหลวงม่อนเงาะ ยำใบเมี่ยง จากโครงการหลวงตีนตกฯลฯ โดยเฉพาะเมนูยอดนิยม อย่างเมี่ยงปลาเทราท์ จากดอยอินทนนท์ ที่หอมกรุ่น กลิ่นปลาเทราท์รมควัน แกล้มผักสดๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด บรรยากาศคึกคักสมกับกาดดอยจำลอง เพราะแขกในงานเดินสวนสนาม เลือกชิมอาหารที่มาออกร้านกันอย่างเพลิดเพลิน เจริญอาหารกันยกใหญ่ ส่วนแขกวีไอพี ที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ประพิมพร สิริวัฒนภักดี หลังบ้านคนสวย ออกงานเดี่ยวแทนสามี ฐาปน สิริวัฒนภักดี งานนี้สะใภ้เบียร์ช้าง เอนจอยเมนูเห็ดทุกชนิดบนโต๊ะ ดูจะถูกใจเป็นพิเศษ กับอาหารที่เสิร์ฟเรียบง่ายในกระทงใบตองแห้ง ช่วยลดโลกร้อน ส่วนหนุ่ม ป้อง-สาระ ล่ำซำ จาก "เมืองไทยประกันชีวิต" มาเดี่ยวเหมือนกัน แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ เมนูไข่เจียวทอดเครื่องกระเทียมญี่ปุ่น จะอร่อยถูกปาก ถูกใจกันแค่ไหน หาโอกาสไปลิ้มลอง และเดินเที่ยวชมกันได้ งาน 40 ปีโครงการหลวง จัดที่ศูนย์การค้าสยามพาราถึงวันที่ 1 มีนาคม นี้
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทอดพระเนตรภายในงาน ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ตุงคนาค, ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี และม.จ.ภีศเดช รัชนี สาระ ล่ำซำ ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, February 24, 2009 06:2932716 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
สัมผัสบรรยากาศกาดดอย และผลิตผลจากสถานีเกษตรโครงการหลวง มาไว้ที่กลางกรุงอย่างตระการตา ในงาน "40 ปี โครงการหลวง 4 ทศวรรษ ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก" เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติฉลองครบรอบ 40 ปีโครงการหลวงซึ่งเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2512 โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานพร้อมทอดพระเนตรภายในงาน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งมีทั้งนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดจำหน่ายสินค้าและผลิตผลของโครงการหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา งานนี้ ยังมีไฮไลท์ในค่ำคืนจัดงานวันแรก ที่ลักขณา นะวิโรจน์ ผู้บริหารสยามพารากอน หัวเรือใหญ่ของงาน ขอจำลองบรรยากาศ "กาดดอย" สไตล์ล้านนามาไว้ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์" เชิญแขกผู้มีเกียรติจากหลายแวดวง มาร่วมลิ้มรส การันตีความสดอร่อยของสุดยอดเมนูอาหารจาก 38 ดอยในโครงการหลวง อาทิ เห็ดน้ำแดงจากโครงการหลวงม่อนเงาะ ยำใบเมี่ยง จากโครงการหลวงตีนตกฯลฯ โดยเฉพาะเมนูยอดนิยม อย่างเมี่ยงปลาเทราท์ จากดอยอินทนนท์ ที่หอมกรุ่น กลิ่นปลาเทราท์รมควัน แกล้มผักสดๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด บรรยากาศคึกคักสมกับกาดดอยจำลอง เพราะแขกในงานเดินสวนสนาม เลือกชิมอาหารที่มาออกร้านกันอย่างเพลิดเพลิน เจริญอาหารกันยกใหญ่ ส่วนแขกวีไอพี ที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ประพิมพร สิริวัฒนภักดี หลังบ้านคนสวย ออกงานเดี่ยวแทนสามี ฐาปน สิริวัฒนภักดี งานนี้สะใภ้เบียร์ช้าง เอนจอยเมนูเห็ดทุกชนิดบนโต๊ะ ดูจะถูกใจเป็นพิเศษ กับอาหารที่เสิร์ฟเรียบง่ายในกระทงใบตองแห้ง ช่วยลดโลกร้อน ส่วนหนุ่ม ป้อง-สาระ ล่ำซำ จาก "เมืองไทยประกันชีวิต" มาเดี่ยวเหมือนกัน แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ เมนูไข่เจียวทอดเครื่องกระเทียมญี่ปุ่น จะอร่อยถูกปาก ถูกใจกันแค่ไหน หาโอกาสไปลิ้มลอง และเดินเที่ยวชมกันได้ งาน 40 ปีโครงการหลวง จัดที่ศูนย์การค้าสยามพาราถึงวันที่ 1 มีนาคม นี้
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทอดพระเนตรภายในงาน ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ตุงคนาค, ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี และม.จ.ภีศเดช รัชนี สาระ ล่ำซำ ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สัมผัสมนต์ขลังแห่ง "กุ้ยหลิน"
คอลัมน์: TravelFocus: สัมผัสมนต์ขลังแห่ง "กุ้ยหลิน"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Saturday, February 21, 2009 13:1946658 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณ์แสง
ปีแล้วปีเล่าที่ภาพเงาสะท้อนของขุนเขาบนสายน้ำ งดงามราวกับภาพวาดในจินตนาการ เป็นมโนภาพที่ผุดพรายขึ้นมาในใจชาวเราและชาวโลก เมื่อเอ่ยถึง "กุ้ยหลิน" แต่แทนที่จะเบื่อ ภาพธรรมชาติที่ตระการตาเหล่านี้ กลับเป็นเสน่ห์ที่คงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย แถมยิ่งเย้ายวน ให้ผู้คนทั่วโลกอยากไปเยือนสถานที่จริงให้เห็นกับตาดูสักครั้งในยุคที่อะไรๆ บนโลกใบนี้ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้น ในวันพักผ่อนที่ใครหลายคนอยากเลือกหมุนชีวิตให้ช้าลงเปลี่ยนบรรยากาศมาสูดอากาศดีๆ ที่กุ้ยหลิน นั่งล่องเรือ ปล่อยใจ ชมความงามของลำน้ำหลีเจียง ที่ไหลเอื่อยๆ ลัดเลาะไปตามขุนเขาใหญ่น้อย สารพัดรูปร่าง ชวนให้สนุกกับการจินตนาการไปตามคำชี้ชวนของไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเมื่อเรือแล่นผ่านภูเขารูปร่างแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น ผาม้า 9 ตัว, เขาแอปเปิล, เขาหอยทาก, ถ้ำมงกุฏ และอื่นๆ อีกมากมาย สุดแต่จะจินตนาการ เรือท่องเที่ยวจะล่องมาขึ้นบกที่หยางชั่ว เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ริมแม่น้ำหลีเจียง เหมาะกับการขี่จักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิต ผู้คน ตลาด ร้านค้า ที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว ย่ำค่ำตะวันตกดิน ที่นี่ยังมีโชว์แสงสีเสียงสุดตระการตาบนแม่น้ำที่ จางอี้โหมว ผู้กำกับหนังชื่อดัง มาเสกภูเขาให้เป็นเงินที่นี่โดยใช้ทิวทัศน์ธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่บนผืนน้ำพร้อมฉากหลังของขุนเขา ให้กลายเป็นโรงละครธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในโชว์ชุดที่ชื่อ The Impression of Liu Sanjie ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านชาวจ้วง "หลิวซานเจี่ย" ไม่ไกลจากหมู่บ้านหยางชั่วยังมีแหล่งท่องเที่ยว Unseen เพิ่งเปิดใหม่ อย่างเช่น ถ้ำดอกบัวให้ได้ตะลึงกับความงดงามจากปรากฏการณ์ธรรมชาติของหินงอกหินย้อย ที่เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ คล้ายดอกบัวบานสะพรั่งเรียงรายกันอยู่บนธารน้ำในโพรงถ้ำมากถึง 108 ดอก นอกจากเป็นเมืองแห่งขุนเขา และสายน้ำแล้ว กุ้ยหลินยังมีชื่อเสียงในความมหัศจรรย์ของถ้ำที่แปลกและงดงาม โดยเฉพาะถ้ำขลุ่ยอ้อ ที่ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่งดงาม ส่วนที่เที่ยวในตัวเมืองกุ้ยหลิน มีกิจกรรมท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกันทั้งกลางวัน และกลางคืน มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสัญลักษณ์ของเมือง อย่าง เขางวงช้าง ที่แลเห็นภูเขาหินรูปช้างกำลังโน้มงวงกินน้ำอยู่ในแม่น้ำหลีเจียง ที่นี่นักท่องเที่ยวมาโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันคึกคักทุกวัน ในตัวเมืองกุ้ยหลิน ยังมีเยาฝูโลว ที่เรียกกันว่า เป็น "เขาสลายคลื่น" ซึ่งมีทั้งถ้ำคืนไข่มุก ที่เคยเชื่อกันว่าในอดีตมีมังกรอาศัยอยู่ ถัดไปไม่ไกลนักยังมีสวนเจ็ดดาว ที่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยกลิน มีทางเดินชมธรรมชาติ สวนสัตว์ หมีแพนด้า และภูเขารูปอูฐ ถ้ายังไม่จุใจ อยากขึ้นกระเช้าลอยฟ้า สูดอากาศและทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน แบบภาพพาโนรามาในมุมสูง มีจุดชมวิวที่น่าสนใจ บนเขาเหยาซาน มุมสูงที่แลเห็นขุนเขานับร้อยลูกรวมกันเป็นหนึ่ง จนแยกไม่ออกว่า "เมืองอยู่ในเขา" หรือ "ภูเขาอยู่ในเมือง" ก่อนจะเปลี่ยนบรรยากาศยามค่ำคืน มาล่องเรือชมทิวทัศน์บนเส้นทาง 4 ทะเลสาบ 2 แม่น้ำ ใจกลางเมืองกุ้ยหลิน ที่เรือจะเลาะลอดใต้สะพานที่สวยงาม หลากหลายรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งแบบโบราณและร่วมสมัย พถร้อมแสงสีไฟประดับประดาเจดีย์เงิน เจดีย์ทอง ที่สว่างไสวยามค่ำคืน ในอดีตกุ้ยหลินเป็นจุดหมายปลายทางของกวี ศิลปินและจิตรกรชื่อดัง ที่มาค้นหาแรงบันดาลและสร้างสรรค์ผลงานที่นี่ จนกระทั่งถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า จิตรกรใดที่ยังไม่เคยมาเมืองกุ้ยหลิน จะไม่สามารถวาดรูปขุนเขาให้สวยงามได้เลย ข้ามผ่านยุคสมัย เสน่ห์ของกุ้ยหลิน ยังตราตรึงผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาสัมผัสคำร่ำลือของสถานที่ท่องเที่ยว ที่ชาวจีนยกย่องให้เป็น "ซื่อไหว้เถาหยวน" หรือ "เมืองสวรรค์บนพิภพ" รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่หลั่งไหลไปเที่ยวที่นี่ จนเป็นที่คุ้นเคยของพ่อค้าแม่ค้าในย่านชอปปิง โดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่บินตรงสู่กุ้ยหลินสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ทุกวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ สำหรับช่วงนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2552 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพ-กุ้ยหลิน เริ่มต้นที่คนละ 8,600 บาท สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซด์ที่ www.bangkokair.com--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Saturday, February 21, 2009 13:1946658 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณ์แสง
ปีแล้วปีเล่าที่ภาพเงาสะท้อนของขุนเขาบนสายน้ำ งดงามราวกับภาพวาดในจินตนาการ เป็นมโนภาพที่ผุดพรายขึ้นมาในใจชาวเราและชาวโลก เมื่อเอ่ยถึง "กุ้ยหลิน" แต่แทนที่จะเบื่อ ภาพธรรมชาติที่ตระการตาเหล่านี้ กลับเป็นเสน่ห์ที่คงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย แถมยิ่งเย้ายวน ให้ผู้คนทั่วโลกอยากไปเยือนสถานที่จริงให้เห็นกับตาดูสักครั้งในยุคที่อะไรๆ บนโลกใบนี้ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้น ในวันพักผ่อนที่ใครหลายคนอยากเลือกหมุนชีวิตให้ช้าลงเปลี่ยนบรรยากาศมาสูดอากาศดีๆ ที่กุ้ยหลิน นั่งล่องเรือ ปล่อยใจ ชมความงามของลำน้ำหลีเจียง ที่ไหลเอื่อยๆ ลัดเลาะไปตามขุนเขาใหญ่น้อย สารพัดรูปร่าง ชวนให้สนุกกับการจินตนาการไปตามคำชี้ชวนของไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเมื่อเรือแล่นผ่านภูเขารูปร่างแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น ผาม้า 9 ตัว, เขาแอปเปิล, เขาหอยทาก, ถ้ำมงกุฏ และอื่นๆ อีกมากมาย สุดแต่จะจินตนาการ เรือท่องเที่ยวจะล่องมาขึ้นบกที่หยางชั่ว เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ริมแม่น้ำหลีเจียง เหมาะกับการขี่จักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิต ผู้คน ตลาด ร้านค้า ที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว ย่ำค่ำตะวันตกดิน ที่นี่ยังมีโชว์แสงสีเสียงสุดตระการตาบนแม่น้ำที่ จางอี้โหมว ผู้กำกับหนังชื่อดัง มาเสกภูเขาให้เป็นเงินที่นี่โดยใช้ทิวทัศน์ธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่บนผืนน้ำพร้อมฉากหลังของขุนเขา ให้กลายเป็นโรงละครธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในโชว์ชุดที่ชื่อ The Impression of Liu Sanjie ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านชาวจ้วง "หลิวซานเจี่ย" ไม่ไกลจากหมู่บ้านหยางชั่วยังมีแหล่งท่องเที่ยว Unseen เพิ่งเปิดใหม่ อย่างเช่น ถ้ำดอกบัวให้ได้ตะลึงกับความงดงามจากปรากฏการณ์ธรรมชาติของหินงอกหินย้อย ที่เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ คล้ายดอกบัวบานสะพรั่งเรียงรายกันอยู่บนธารน้ำในโพรงถ้ำมากถึง 108 ดอก นอกจากเป็นเมืองแห่งขุนเขา และสายน้ำแล้ว กุ้ยหลินยังมีชื่อเสียงในความมหัศจรรย์ของถ้ำที่แปลกและงดงาม โดยเฉพาะถ้ำขลุ่ยอ้อ ที่ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่งดงาม ส่วนที่เที่ยวในตัวเมืองกุ้ยหลิน มีกิจกรรมท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกันทั้งกลางวัน และกลางคืน มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสัญลักษณ์ของเมือง อย่าง เขางวงช้าง ที่แลเห็นภูเขาหินรูปช้างกำลังโน้มงวงกินน้ำอยู่ในแม่น้ำหลีเจียง ที่นี่นักท่องเที่ยวมาโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันคึกคักทุกวัน ในตัวเมืองกุ้ยหลิน ยังมีเยาฝูโลว ที่เรียกกันว่า เป็น "เขาสลายคลื่น" ซึ่งมีทั้งถ้ำคืนไข่มุก ที่เคยเชื่อกันว่าในอดีตมีมังกรอาศัยอยู่ ถัดไปไม่ไกลนักยังมีสวนเจ็ดดาว ที่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยกลิน มีทางเดินชมธรรมชาติ สวนสัตว์ หมีแพนด้า และภูเขารูปอูฐ ถ้ายังไม่จุใจ อยากขึ้นกระเช้าลอยฟ้า สูดอากาศและทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน แบบภาพพาโนรามาในมุมสูง มีจุดชมวิวที่น่าสนใจ บนเขาเหยาซาน มุมสูงที่แลเห็นขุนเขานับร้อยลูกรวมกันเป็นหนึ่ง จนแยกไม่ออกว่า "เมืองอยู่ในเขา" หรือ "ภูเขาอยู่ในเมือง" ก่อนจะเปลี่ยนบรรยากาศยามค่ำคืน มาล่องเรือชมทิวทัศน์บนเส้นทาง 4 ทะเลสาบ 2 แม่น้ำ ใจกลางเมืองกุ้ยหลิน ที่เรือจะเลาะลอดใต้สะพานที่สวยงาม หลากหลายรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งแบบโบราณและร่วมสมัย พถร้อมแสงสีไฟประดับประดาเจดีย์เงิน เจดีย์ทอง ที่สว่างไสวยามค่ำคืน ในอดีตกุ้ยหลินเป็นจุดหมายปลายทางของกวี ศิลปินและจิตรกรชื่อดัง ที่มาค้นหาแรงบันดาลและสร้างสรรค์ผลงานที่นี่ จนกระทั่งถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า จิตรกรใดที่ยังไม่เคยมาเมืองกุ้ยหลิน จะไม่สามารถวาดรูปขุนเขาให้สวยงามได้เลย ข้ามผ่านยุคสมัย เสน่ห์ของกุ้ยหลิน ยังตราตรึงผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาสัมผัสคำร่ำลือของสถานที่ท่องเที่ยว ที่ชาวจีนยกย่องให้เป็น "ซื่อไหว้เถาหยวน" หรือ "เมืองสวรรค์บนพิภพ" รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่หลั่งไหลไปเที่ยวที่นี่ จนเป็นที่คุ้นเคยของพ่อค้าแม่ค้าในย่านชอปปิง โดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่บินตรงสู่กุ้ยหลินสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ทุกวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ สำหรับช่วงนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2552 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพ-กุ้ยหลิน เริ่มต้นที่คนละ 8,600 บาท สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซด์ที่ www.bangkokair.com--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สวนสะพรั่ง...ใจกลางกรุง
สวนสะพรั่ง...ใจกลางกรุงSource - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Thursday, February 12, 2009 11:473054 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ภายใต้พื้นที่เล็กๆ กว้างยาว 4x4 ตารางเมตร หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ สร้างสรรค์อะไรได้กว่าที่เราคิด ถ้าไม่เชื่อ...ลองไปเดินชมสวนสวยมีดีไซน์ Celebrity Garden ที่แต่ละคนดัง 10 คน 10 สไตล์ หยิบลูกเล่นไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ มาสะท้อนความเป็นตัวตน สร้างสีสันในงาน "TALAs Landscape09@CentralWorld" ที่ห้างใหญ่กลางกรุง เปิดพื้นที่ให้สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย เนรมิตลานโล่งๆ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวสะพรั่ง ในธีม Urban Park ออกแบบให้เป็นลานคนเมือง และสอดรับกับโอกาสครบรอบ 30 ปีของวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรม งานนี้ นอกจากทำให้คนไทยรู้จักกับงานด้านภูมิสถาปัตย์มากขึ้นแล้ว ผ่านนิทรรศการและบรรยากาศภูมิทัศน์ร่มรื่นที่ออกแบบอย่างมีดีไซน์ ความตั้งใจหนึ่งของคนจัดงาน คือ อยากจุดประกายไอเดียให้คนทั่วไปอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสิ่งดีๆ ในชีวิต เริ่มจากปรับปรุงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ในรั้วบ้านจากพื้นที่ที่เคยวางข้าวของรกรุงรัก หันมาแปลงเป็นสวนสวย เพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่นเดียวกับบรรดาคนดัง ที่มาร่วมกันออกไอเดียจัดสวนครั้งนี้ อาทิ สวนไอเดียเครื่องเทศและพืชสมุนไพรของ ก้องศักดิ์ยอดมณี, สวนดีไซน์เก๋ "Ramaya" ความรื่นรมย์แห่งชีวิต ของ สุภาพรรณ ทองมาลัย ฯลฯ สวนสวยๆ หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์เหล่านี้ จะจัดแสดงถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Thursday, February 12, 2009 11:473054 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ภายใต้พื้นที่เล็กๆ กว้างยาว 4x4 ตารางเมตร หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ สร้างสรรค์อะไรได้กว่าที่เราคิด ถ้าไม่เชื่อ...ลองไปเดินชมสวนสวยมีดีไซน์ Celebrity Garden ที่แต่ละคนดัง 10 คน 10 สไตล์ หยิบลูกเล่นไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ มาสะท้อนความเป็นตัวตน สร้างสีสันในงาน "TALAs Landscape09@CentralWorld" ที่ห้างใหญ่กลางกรุง เปิดพื้นที่ให้สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย เนรมิตลานโล่งๆ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวสะพรั่ง ในธีม Urban Park ออกแบบให้เป็นลานคนเมือง และสอดรับกับโอกาสครบรอบ 30 ปีของวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรม งานนี้ นอกจากทำให้คนไทยรู้จักกับงานด้านภูมิสถาปัตย์มากขึ้นแล้ว ผ่านนิทรรศการและบรรยากาศภูมิทัศน์ร่มรื่นที่ออกแบบอย่างมีดีไซน์ ความตั้งใจหนึ่งของคนจัดงาน คือ อยากจุดประกายไอเดียให้คนทั่วไปอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสิ่งดีๆ ในชีวิต เริ่มจากปรับปรุงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ในรั้วบ้านจากพื้นที่ที่เคยวางข้าวของรกรุงรัก หันมาแปลงเป็นสวนสวย เพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่นเดียวกับบรรดาคนดัง ที่มาร่วมกันออกไอเดียจัดสวนครั้งนี้ อาทิ สวนไอเดียเครื่องเทศและพืชสมุนไพรของ ก้องศักดิ์ยอดมณี, สวนดีไซน์เก๋ "Ramaya" ความรื่นรมย์แห่งชีวิต ของ สุภาพรรณ ทองมาลัย ฯลฯ สวนสวยๆ หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์เหล่านี้ จะจัดแสดงถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ครอบครัวต้องมาก่อน
ครอบครัวต้องมาก่อน Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, February 06, 2009 08:3038170 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เหมือนว่า ลอร่า ศศิธร วัฒนกุล จะมี "ภาพชีวิต" อย่างที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน มีครอบครัวอบอุ่น มีลูกที่น่ารัก มีสามีดีๆ เป็นคู่ชีวิต พร้อมๆ กับเส้นทางอาชีพการงานที่เธอรัก แต่ในภาพ "ความเก่งพร้อมสมบูรณ์แบบ" ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงไปกว่าที่ "Supermom" คุณแม่ลูกสองคนนี้ จะจัดการรับมือ ใครจะรู้ว่า ครั้งหนึ่ง ชีวิตของเธอเคยแทบสะดุดล้มจนชีวิตครอบครัวเกือบต้องเสียศูนย์ก่อนที่จะมีลูกคนที่สอง เชื่อเถอะว่า บทเรียนชีวิตที่ลอร่า ผ่านพ้นและค้นพบ หนังชีวิตเรื่องเดียวกันนี้ เกิดขึ้นกับบรรดาเวิร์คกิ้งมัม ผู้หญิงเก่ง และภรรยาจอมดื้อ ทั้งหลายบนเส้นทางที่ต้องหาจุด "สมดุล" ระหว่างงาน กับครอบครัวให้เจอ ด้วยคำถามเบสิคที่ว่า แท้จริงแล้วความสุขและเป้าหมายในชีวิตอยู่ที่ตรงไหน? "ตอนสาวๆ ตั้งเป้าหมายทำงานเพื่อสนุก ตอนมีลูกคนแรก ทำงานเพื่อให้มีเงินเก็บ แต่ตอนนี้ ทำงานเพื่อสร้างชีวิตที่สมดุล มีโลกทัศน์ มีประสบการณ์และคอนเนคชั่นที่จะมาดูแลลูกต่อไปในอนาคต" ลอร่า ว่าอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไร เธอเป็นผู้หญิงบ้างาน สนุกกับการทำโน่นนี่ ชีวิตเต็มไปด้วยความ "อยาก" และ "ท้าทาย" ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังจากมี "โมนิก้า" ลูกคนแรก ชีวิตช่วงนั้น เหมือนว่า ทุกอย่างจะเป็นใจ อย่างที่เธอวาดหวัง เป็นพิธีกรหลายรายการ เปิดบริษัท มีรายการเป็นของตัวเอง ไปถึงอย่างที่วาดฝันไว้ "แต่อีกฝันหนึ่งของเราที่ไปไม่ถึงเลย ก็คือ การอยากมีลูกคนที่สอง อยากท้องอีก พยายามหลายอย่าง แต่ยังไงก็ไม่สำเร็จสักที ในที่สุด เมื่อเรามาจัดลำดับชีวิตว่า อะไรคือสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่ากับชีวิตเรา เราก็น่าจะยอมแลก" ผู้หญิงเก่งและมาดมั่นอย่างลอร่า เคยมั่นอกมั่นใจมาตลอด ว่า ทุกขณะของชีวิตมีการวางแผนและตั้งเป้าหมาย แต่ในที่สุด พอได้กลับมาทบทวนจัดลำดับสมดุลในชีวิตอีกครั้ง เป็นกฎ 3 ข้อ ของการสร้างสมดุลในชีวิตง่ายๆ กับคำถามที่ธรรมดาที่สุด Want, Can, Should ทั้ง 3 สิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน ในที่สุด ลอร่า เลือกที่จะลด "ความทะยานอยาก" ในหน้าที่การงานลงมา เลือกทำเฉพาะบางเรื่องในสิ่งที่ "สามารถ" ทำได้ และทำใน "สิ่งที่ควร" ในคำตอบที่เธอเลือก นั่นก็คือ ครอบครัว การเป็นแม่ และเป็นภรรยา ที่ต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง "มันเหมือนม้าที่โดนปิดตาข้างๆ แล้วมองไปแต่เป้าหมายข้างหน้าว่า เราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งในหน้าที่การงาน และการเป็นภรรยา และเป็นแม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนกับควบม้าไปสะดุดหิน แล้วที่ปิดตามันหลุดออก แล้วเราก็มีมุมมองแบบเห็น 360 องศาเลย ว่า ฉันกลายเป็นม้าป่า ที่ปีนมาถึงหน้าผาที่เกือบจะตกลงเหว" ชีวิตช่วงนั้น สะดุดกับ "ก้อนหิน" อย่างจัง ทั้งเรื่องความพยายามมีลูกที่ไม่สำเร็จ และเรื่องธุรกิจซึ่งตอนนั้นไอทีวี กำลังอยู่ในช่วงมีปัญหา ในที่สุด ลอร่าตัดสินใจลงจากหลังเสือ ยุติการทำรายการ ลดงานทุกอย่าง เอนจอยชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ลดการ "ตั้งเป้าหมาย" และความ "อยาก" แตะเบรคชีวิตใหม่ ลดความจริงจังลง ลดความสุดโต่งลงมาหน่อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลดดีกรีความเป็น "เมียดื้อ" ให้น้อยลง "ผู้หญิงสมัยนี้พึ่งสามีน้อยลงและเราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย บางครั้งเรามั่นใจในตัวเอง และทำอะไรโดยที่ลืมตัดสินใจร่วมกัน พอคิดได้ ก็เลยกลับไปคืนดีกับสามี คือ ไม่ได้แยกเตียงกันแต่อาจจะมีช่วงที่ชีวิตประจำวันของสามีภรรยา ที่มีเรื่องในใจกันเล็กๆ น้อยๆ สามีก็น่ารักมาก เขาบอกว่า ไม่ยกโทษให้หรอก เพราะเขาไม่เคยโกรธเรา ต้องขอบคุณสามี และลูก เราก็บอกว่า ที่ผ่านมา เราเป็นม้า เขาก็ว่าไม่เป็นไร ซึ่งจากนั้นก็ทำให้เรากลับมาใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น" เธอ เล่าพร้อมรอยยิ้ม "ถ้าดูในภาพกราฟชีวิตของผู้หญิง นักจิตวิทยาก็บอกเหมือนกันว่าเราจะเอาสามีไว้ในอันดับที่ท้ายๆ คิดว่าเขาก็เข้าใจ เราจะสาละวนกับลูกมากด้วย และยิ่งเราก็วิ่งรอกทำงานด้วย ถ้าย้อนได้ เราก็อยากจะบอกกับผู้หญิงทุกคนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่สำคัญ "บางที มันคล้ายกับกบที่อยู่น้ำเย็นและย้ายไปอยู่น้ำอุ่น และค่อยๆ เติมน้ำร้อนลงไป ในที่สุดกบก็ถูกลวกตาย โดยที่กบไม่รู้ว่าน้ำมันถูกเปลี่ยนอุณหภูมิไปแล้ว ปัญหามันเหมือนก้อนกรวดในรองเท้า มันยังอยู่และสร้างปัญหา เราไม่เคยรู้สึกเราก็คิดว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จนเรามาคิดทบทวนดูว่ามันก็มีสัญญาณอะไรตั้งหลายอย่าง ที่รวมๆแล้วมันทำให้เราเครียด" เริ่มต้นจากจัดอันดับความสำคัญของชีวิต และให้เกียรติซึ่งกันและกัน และควรให้สามีมีส่วนในการตัดสินเรื่องใหญ่ๆในชีวิตของเราด้วย "จัดสมดุลชีวิตใหม่ รับงานให้น้อยลง แล้วก็ตั้งเป้าการเก็บเงินให้น้อยลงด้วย เดิมเราคิดว่าน่าจะมีเงินเท่านี้บาทเพื่ออนาคตของลูกเพื่ออนาคตครอบครัว ก็ปรับเป้าลดมา 50 เปอร์เซ็นต์เลย ทำให้เราไม่เครียดในการหาเงินมากเกินไป ก็ทำในสิ่งที่อยากจะทำ เช่น เราอยากไปเที่ยวก็ไปเที่ยวแบบจริงๆ ก่อนหน้านั้น เวลาทำรายการท่องเที่ยว เที่ยวไปเครียดไปนะ เพราะมันต้องคิด เพราะทำรายการมันต้องคิดโจทย์ ตอนนั้นเวลาก็จำกัดด้วย ก็เหนื่อย แต่พอมาเที่ยวแบบกันเอง อยากไปเที่ยวก็ไปไหนก็ไปอยู่นานแค่ไหนก็ได้" 6 เดือนหลังการเปลี่ยนแปลง ความพยายามของลอร่า ก็สมหวัง ในที่สุด เธอได้ตั้งครรภ์ลูกชายคนที่สองสมใจ ด้วยวิธีธรรมชาติ เธอบอกว่า น่าจะมาจากการลดความเครียด และจริงจังในชีวิตที่ลดลง ตอนนี้เจ้าตัวเล็กอายุ 5 เดือนแล้ว ลอร่า บอกว่า บทสรุปเรื่องนี้ของเธอสอนให้รู้ว่า "จากเมียที่ดื้อก็กลายเป็นเมียที่เชื่อง และบางทีผู้หญิงเรา ก็ควรได้รับการดูแลจากผู้ชายบ้าง" ....เป็นบทเรียนของคุณแม่คนเก่ง ที่ได้รับหลังการ "เปลี่ยนแปลง" ชีวิตครั้งใหญ่--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Friday, February 06, 2009 08:3038170 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เหมือนว่า ลอร่า ศศิธร วัฒนกุล จะมี "ภาพชีวิต" อย่างที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน มีครอบครัวอบอุ่น มีลูกที่น่ารัก มีสามีดีๆ เป็นคู่ชีวิต พร้อมๆ กับเส้นทางอาชีพการงานที่เธอรัก แต่ในภาพ "ความเก่งพร้อมสมบูรณ์แบบ" ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงไปกว่าที่ "Supermom" คุณแม่ลูกสองคนนี้ จะจัดการรับมือ ใครจะรู้ว่า ครั้งหนึ่ง ชีวิตของเธอเคยแทบสะดุดล้มจนชีวิตครอบครัวเกือบต้องเสียศูนย์ก่อนที่จะมีลูกคนที่สอง เชื่อเถอะว่า บทเรียนชีวิตที่ลอร่า ผ่านพ้นและค้นพบ หนังชีวิตเรื่องเดียวกันนี้ เกิดขึ้นกับบรรดาเวิร์คกิ้งมัม ผู้หญิงเก่ง และภรรยาจอมดื้อ ทั้งหลายบนเส้นทางที่ต้องหาจุด "สมดุล" ระหว่างงาน กับครอบครัวให้เจอ ด้วยคำถามเบสิคที่ว่า แท้จริงแล้วความสุขและเป้าหมายในชีวิตอยู่ที่ตรงไหน? "ตอนสาวๆ ตั้งเป้าหมายทำงานเพื่อสนุก ตอนมีลูกคนแรก ทำงานเพื่อให้มีเงินเก็บ แต่ตอนนี้ ทำงานเพื่อสร้างชีวิตที่สมดุล มีโลกทัศน์ มีประสบการณ์และคอนเนคชั่นที่จะมาดูแลลูกต่อไปในอนาคต" ลอร่า ว่าอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไร เธอเป็นผู้หญิงบ้างาน สนุกกับการทำโน่นนี่ ชีวิตเต็มไปด้วยความ "อยาก" และ "ท้าทาย" ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังจากมี "โมนิก้า" ลูกคนแรก ชีวิตช่วงนั้น เหมือนว่า ทุกอย่างจะเป็นใจ อย่างที่เธอวาดหวัง เป็นพิธีกรหลายรายการ เปิดบริษัท มีรายการเป็นของตัวเอง ไปถึงอย่างที่วาดฝันไว้ "แต่อีกฝันหนึ่งของเราที่ไปไม่ถึงเลย ก็คือ การอยากมีลูกคนที่สอง อยากท้องอีก พยายามหลายอย่าง แต่ยังไงก็ไม่สำเร็จสักที ในที่สุด เมื่อเรามาจัดลำดับชีวิตว่า อะไรคือสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่ากับชีวิตเรา เราก็น่าจะยอมแลก" ผู้หญิงเก่งและมาดมั่นอย่างลอร่า เคยมั่นอกมั่นใจมาตลอด ว่า ทุกขณะของชีวิตมีการวางแผนและตั้งเป้าหมาย แต่ในที่สุด พอได้กลับมาทบทวนจัดลำดับสมดุลในชีวิตอีกครั้ง เป็นกฎ 3 ข้อ ของการสร้างสมดุลในชีวิตง่ายๆ กับคำถามที่ธรรมดาที่สุด Want, Can, Should ทั้ง 3 สิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน ในที่สุด ลอร่า เลือกที่จะลด "ความทะยานอยาก" ในหน้าที่การงานลงมา เลือกทำเฉพาะบางเรื่องในสิ่งที่ "สามารถ" ทำได้ และทำใน "สิ่งที่ควร" ในคำตอบที่เธอเลือก นั่นก็คือ ครอบครัว การเป็นแม่ และเป็นภรรยา ที่ต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง "มันเหมือนม้าที่โดนปิดตาข้างๆ แล้วมองไปแต่เป้าหมายข้างหน้าว่า เราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งในหน้าที่การงาน และการเป็นภรรยา และเป็นแม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนกับควบม้าไปสะดุดหิน แล้วที่ปิดตามันหลุดออก แล้วเราก็มีมุมมองแบบเห็น 360 องศาเลย ว่า ฉันกลายเป็นม้าป่า ที่ปีนมาถึงหน้าผาที่เกือบจะตกลงเหว" ชีวิตช่วงนั้น สะดุดกับ "ก้อนหิน" อย่างจัง ทั้งเรื่องความพยายามมีลูกที่ไม่สำเร็จ และเรื่องธุรกิจซึ่งตอนนั้นไอทีวี กำลังอยู่ในช่วงมีปัญหา ในที่สุด ลอร่าตัดสินใจลงจากหลังเสือ ยุติการทำรายการ ลดงานทุกอย่าง เอนจอยชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ลดการ "ตั้งเป้าหมาย" และความ "อยาก" แตะเบรคชีวิตใหม่ ลดความจริงจังลง ลดความสุดโต่งลงมาหน่อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลดดีกรีความเป็น "เมียดื้อ" ให้น้อยลง "ผู้หญิงสมัยนี้พึ่งสามีน้อยลงและเราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย บางครั้งเรามั่นใจในตัวเอง และทำอะไรโดยที่ลืมตัดสินใจร่วมกัน พอคิดได้ ก็เลยกลับไปคืนดีกับสามี คือ ไม่ได้แยกเตียงกันแต่อาจจะมีช่วงที่ชีวิตประจำวันของสามีภรรยา ที่มีเรื่องในใจกันเล็กๆ น้อยๆ สามีก็น่ารักมาก เขาบอกว่า ไม่ยกโทษให้หรอก เพราะเขาไม่เคยโกรธเรา ต้องขอบคุณสามี และลูก เราก็บอกว่า ที่ผ่านมา เราเป็นม้า เขาก็ว่าไม่เป็นไร ซึ่งจากนั้นก็ทำให้เรากลับมาใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น" เธอ เล่าพร้อมรอยยิ้ม "ถ้าดูในภาพกราฟชีวิตของผู้หญิง นักจิตวิทยาก็บอกเหมือนกันว่าเราจะเอาสามีไว้ในอันดับที่ท้ายๆ คิดว่าเขาก็เข้าใจ เราจะสาละวนกับลูกมากด้วย และยิ่งเราก็วิ่งรอกทำงานด้วย ถ้าย้อนได้ เราก็อยากจะบอกกับผู้หญิงทุกคนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่สำคัญ "บางที มันคล้ายกับกบที่อยู่น้ำเย็นและย้ายไปอยู่น้ำอุ่น และค่อยๆ เติมน้ำร้อนลงไป ในที่สุดกบก็ถูกลวกตาย โดยที่กบไม่รู้ว่าน้ำมันถูกเปลี่ยนอุณหภูมิไปแล้ว ปัญหามันเหมือนก้อนกรวดในรองเท้า มันยังอยู่และสร้างปัญหา เราไม่เคยรู้สึกเราก็คิดว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จนเรามาคิดทบทวนดูว่ามันก็มีสัญญาณอะไรตั้งหลายอย่าง ที่รวมๆแล้วมันทำให้เราเครียด" เริ่มต้นจากจัดอันดับความสำคัญของชีวิต และให้เกียรติซึ่งกันและกัน และควรให้สามีมีส่วนในการตัดสินเรื่องใหญ่ๆในชีวิตของเราด้วย "จัดสมดุลชีวิตใหม่ รับงานให้น้อยลง แล้วก็ตั้งเป้าการเก็บเงินให้น้อยลงด้วย เดิมเราคิดว่าน่าจะมีเงินเท่านี้บาทเพื่ออนาคตของลูกเพื่ออนาคตครอบครัว ก็ปรับเป้าลดมา 50 เปอร์เซ็นต์เลย ทำให้เราไม่เครียดในการหาเงินมากเกินไป ก็ทำในสิ่งที่อยากจะทำ เช่น เราอยากไปเที่ยวก็ไปเที่ยวแบบจริงๆ ก่อนหน้านั้น เวลาทำรายการท่องเที่ยว เที่ยวไปเครียดไปนะ เพราะมันต้องคิด เพราะทำรายการมันต้องคิดโจทย์ ตอนนั้นเวลาก็จำกัดด้วย ก็เหนื่อย แต่พอมาเที่ยวแบบกันเอง อยากไปเที่ยวก็ไปไหนก็ไปอยู่นานแค่ไหนก็ได้" 6 เดือนหลังการเปลี่ยนแปลง ความพยายามของลอร่า ก็สมหวัง ในที่สุด เธอได้ตั้งครรภ์ลูกชายคนที่สองสมใจ ด้วยวิธีธรรมชาติ เธอบอกว่า น่าจะมาจากการลดความเครียด และจริงจังในชีวิตที่ลดลง ตอนนี้เจ้าตัวเล็กอายุ 5 เดือนแล้ว ลอร่า บอกว่า บทสรุปเรื่องนี้ของเธอสอนให้รู้ว่า "จากเมียที่ดื้อก็กลายเป็นเมียที่เชื่อง และบางทีผู้หญิงเรา ก็ควรได้รับการดูแลจากผู้ชายบ้าง" ....เป็นบทเรียนของคุณแม่คนเก่ง ที่ได้รับหลังการ "เปลี่ยนแปลง" ชีวิตครั้งใหญ่--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ประมูลงานศิลป์...มูลนิธิ
ประมูลงานศิลป์...มูลนิธิ "ป๋าเปรม"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, February 02, 2009 06:5242378 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เป็นอีกงานใหญ่ ที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จัดขึ้นประจำทุกปี สำหรับการเปิดประมูลผลงานศิลปกรรมชั้นเยี่ยมเพื่อหาทุนสนับสนุนการศึกษาด้านศิลปะแก่นิสิตนักศึกษาเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยกองทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์ศิลปะ "มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" บรรยากาศการประมูลปีนี้ ยังคงได้รับความสนใจจากทั้งนักธุรกิจ นักสะสมงานศิลปะ ผู้มีจิตศรัทธา รวมทั้งบรรดาผู้ใกล้ชิด "ป๋าเปรม" มาร่วมจับจองเป็นเจ้าของ 25 ผลงานศิลปกรรมที่เข้าร่วมประมูลครั้งนี้ ในจำนวนนี้ เป็นผลงานทรงคุณค่าจากศิลปินแห่งชาติและศิลปินอาวุโสถึง 11 ท่าน อาทิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ประหยัด พงษ์ดำ, ศาสตราจารย์วิโชค มุกดามณี, ปัญญา วิจินธนสาร, ทวี รัชนีกร, กมล ทัศนาญชลี และเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และที่พิเศษในปีนี้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ประธานในพิธีค่ำคืนนั้น ยังร่วมนำผลงานศิลปกรรมสะสมส่วนตัว มาร่วมประมูลในงานนี้ด้วย 7 ผลงาน หลังจากวรรคทองอันโด่งดัง "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" ของพลเอกเปรม ประธานในพิธี ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำกล่าวสุนทรพจน์สิ้นสุดลง ช่วงของการประมูลก็เริ่มต้นโดยเยาวณี ช่อวิเชียร จากบริษัท คริสตี้ส์ อ็อกชั่น(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประมูล เริ่มต้นชิ้นแรก ที่ผลงานสื่อผสมบนผ้าใบของดร.กมล ทัศนาญชลี ในชื่อ "พระพุทธบาท 2550" เปิดประมูลเริ่มต้นที่ 1 แสนบาท ก่อนจะเคาะราคาที่ 5 แสนบาท โดยนักการเงินหญิงผู้หลงใหลงานศิลปะที่ชื่อ นลินี งามเศรษฐมาศ ซีอีโอบริษัท หลักทรัพย์ไอร่า จำกัด (มหาชน) งานนี้ ยังมีนักสะสมงานศิลปะตัวยง ที่ไม่พลาดมารวมชิงชัยในการประมูล อาทิ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ, กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ที่เห็นมาดนิ่งๆ แต่ขยันยกมือแข่งสู้ราคาตั้งแต่ต้นจนจบงานอีกคนที่มาแบบนิ่งๆ เงียบๆ แถมอยู่หลังห้อง แต่ถ้าถูกใจภาพไหนขอทุ่มสู้ราคาแบบไม่ถอย ต้องยกให้ มาดามหญิงแห่ง "ช.การช่าง" สายเกษม ตรีวิศวเวทย์ ที่เบ็ดเสร็จงานนี้ทำบุญไป 1.8 ล้านบาท ประมูลกลับไป 3 ผลงาน นอกจากนี้ ยังมี ยงศักกดิ์ คณาธนวานิชย์ กรรมการมูลนิธิรัฐบุรุษ ประมูลไป 3 ผลงาน รวมกว่า 2 ล้านบาท ปิดท้ายด้วยภาพสุดท้าย ในชื่อ "จตุรพุทธ: 4 BUDDHAS" ของอาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ที่เป็นชิ้นที่เคาะราคาสูงที่สุดในคืนวันนั้น ในราคา 9.5 แสนบาท โดย "เจ้าของแอร์ซัยโจ เด็นกิ" สมศักดิ์ จิตติพลังศรี รวมทั้งสิ้นจาก 25 ผลงานศิลปกรรมที่ออกประมูลสามารถระดมทุนเป็นเงิน 9.79 ล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดจะนำเข้าสมทบกองทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์ศิลปะ "มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 9 ของการจัดงานแล้ว นอกจากนี้ ในค่ำคืนนั้น "ป๋าเปรม" ยังเป็นประธานมอบทุนการศึกษามูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนแบบให้เปล่า ทุนละ 3 หมื่นบาท ให้แก่ 50 นิสิต นักศึกษาด้านศิลปะจากทั่วประเทศพร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่คณะศิลปินอาวุโสทั้ง 22 ท่าน ที่ร่วมสนับสนุนกิจกรรมของกองทุนฯ มาอย่างต่อเนื่อง ภายในงาน ยังมีผลงานศิลปะจากโครงการ Art Camp มาจัดแสดงเพื่อจำหน่ายแก่ผู้สนใจ จนบริเวณหน้าห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเหมือนแกลลอรีแสดงผลงานศิลปะย่อมๆ สำหรับผู้สนใจสนับสนุนผลงานศิลปกรรมในโครงการ ร่วมชื่นชมกับความสุนทรีย์ของงานศิลป์พร้อมได้บุญกุศล สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. 02-241-0088
บรรยายใต้ภาพ สายเกษม ตรีวิศวเวทย์ มาดาม ช.การช่าง ชูป้ายสู้ราคาไม่ถอย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พร้อมด้วย พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานมูลนิธิรัฐบุรุษฯ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Monday, February 02, 2009 06:5242378 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เป็นอีกงานใหญ่ ที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จัดขึ้นประจำทุกปี สำหรับการเปิดประมูลผลงานศิลปกรรมชั้นเยี่ยมเพื่อหาทุนสนับสนุนการศึกษาด้านศิลปะแก่นิสิตนักศึกษาเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยกองทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์ศิลปะ "มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" บรรยากาศการประมูลปีนี้ ยังคงได้รับความสนใจจากทั้งนักธุรกิจ นักสะสมงานศิลปะ ผู้มีจิตศรัทธา รวมทั้งบรรดาผู้ใกล้ชิด "ป๋าเปรม" มาร่วมจับจองเป็นเจ้าของ 25 ผลงานศิลปกรรมที่เข้าร่วมประมูลครั้งนี้ ในจำนวนนี้ เป็นผลงานทรงคุณค่าจากศิลปินแห่งชาติและศิลปินอาวุโสถึง 11 ท่าน อาทิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ประหยัด พงษ์ดำ, ศาสตราจารย์วิโชค มุกดามณี, ปัญญา วิจินธนสาร, ทวี รัชนีกร, กมล ทัศนาญชลี และเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และที่พิเศษในปีนี้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ประธานในพิธีค่ำคืนนั้น ยังร่วมนำผลงานศิลปกรรมสะสมส่วนตัว มาร่วมประมูลในงานนี้ด้วย 7 ผลงาน หลังจากวรรคทองอันโด่งดัง "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" ของพลเอกเปรม ประธานในพิธี ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำกล่าวสุนทรพจน์สิ้นสุดลง ช่วงของการประมูลก็เริ่มต้นโดยเยาวณี ช่อวิเชียร จากบริษัท คริสตี้ส์ อ็อกชั่น(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประมูล เริ่มต้นชิ้นแรก ที่ผลงานสื่อผสมบนผ้าใบของดร.กมล ทัศนาญชลี ในชื่อ "พระพุทธบาท 2550" เปิดประมูลเริ่มต้นที่ 1 แสนบาท ก่อนจะเคาะราคาที่ 5 แสนบาท โดยนักการเงินหญิงผู้หลงใหลงานศิลปะที่ชื่อ นลินี งามเศรษฐมาศ ซีอีโอบริษัท หลักทรัพย์ไอร่า จำกัด (มหาชน) งานนี้ ยังมีนักสะสมงานศิลปะตัวยง ที่ไม่พลาดมารวมชิงชัยในการประมูล อาทิ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ, กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ที่เห็นมาดนิ่งๆ แต่ขยันยกมือแข่งสู้ราคาตั้งแต่ต้นจนจบงานอีกคนที่มาแบบนิ่งๆ เงียบๆ แถมอยู่หลังห้อง แต่ถ้าถูกใจภาพไหนขอทุ่มสู้ราคาแบบไม่ถอย ต้องยกให้ มาดามหญิงแห่ง "ช.การช่าง" สายเกษม ตรีวิศวเวทย์ ที่เบ็ดเสร็จงานนี้ทำบุญไป 1.8 ล้านบาท ประมูลกลับไป 3 ผลงาน นอกจากนี้ ยังมี ยงศักกดิ์ คณาธนวานิชย์ กรรมการมูลนิธิรัฐบุรุษ ประมูลไป 3 ผลงาน รวมกว่า 2 ล้านบาท ปิดท้ายด้วยภาพสุดท้าย ในชื่อ "จตุรพุทธ: 4 BUDDHAS" ของอาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ที่เป็นชิ้นที่เคาะราคาสูงที่สุดในคืนวันนั้น ในราคา 9.5 แสนบาท โดย "เจ้าของแอร์ซัยโจ เด็นกิ" สมศักดิ์ จิตติพลังศรี รวมทั้งสิ้นจาก 25 ผลงานศิลปกรรมที่ออกประมูลสามารถระดมทุนเป็นเงิน 9.79 ล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดจะนำเข้าสมทบกองทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์ศิลปะ "มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 9 ของการจัดงานแล้ว นอกจากนี้ ในค่ำคืนนั้น "ป๋าเปรม" ยังเป็นประธานมอบทุนการศึกษามูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนแบบให้เปล่า ทุนละ 3 หมื่นบาท ให้แก่ 50 นิสิต นักศึกษาด้านศิลปะจากทั่วประเทศพร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่คณะศิลปินอาวุโสทั้ง 22 ท่าน ที่ร่วมสนับสนุนกิจกรรมของกองทุนฯ มาอย่างต่อเนื่อง ภายในงาน ยังมีผลงานศิลปะจากโครงการ Art Camp มาจัดแสดงเพื่อจำหน่ายแก่ผู้สนใจ จนบริเวณหน้าห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเหมือนแกลลอรีแสดงผลงานศิลปะย่อมๆ สำหรับผู้สนใจสนับสนุนผลงานศิลปกรรมในโครงการ ร่วมชื่นชมกับความสุนทรีย์ของงานศิลป์พร้อมได้บุญกุศล สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. 02-241-0088
บรรยายใต้ภาพ สายเกษม ตรีวิศวเวทย์ มาดาม ช.การช่าง ชูป้ายสู้ราคาไม่ถอย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พร้อมด้วย พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานมูลนิธิรัฐบุรุษฯ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ในอ้อมกอด "โรงงานหลวง"
ในอ้อมกอด "โรงงานหลวง"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, January 23, 2009 07:4944735 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 มีมิติใหม่ที่น่าสนใจของการพัฒนาหลายด้าน โดยนำเอาแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเอยู่หัว การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยมีราษฎรเป็นศูนย์กลาง โรงงานแห่งใหม่ ยังสร้างขึ้นด้วยแนวคิดโรงงานสีเขียว เพื่อเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่นเดียวกับโอกาสใหม่ ที่ผลิบานขึ้นอีกครั้ง ในชุมชนหมู่บ้านยาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วันนี้ โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) โรงงานหลวงแห่งแรก ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยและโคลนถล่ม เมื่อเดือนตุลาคม 2549 ได้รับการพลิกฟื้นให้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ตามพระราชดำริที่ให้พัฒนาพื้นที่เดิมที่ได้รับความเสียหาย ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต (living SITE Museum) นำเสนอองค์ความรู้ผ่านนิทรรศการวัตถุสะสม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในชุมชน เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ควบคู่กับ "โรงงานสีเขียว" ที่สร้างขึ้นใหม่ โอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากทรงตีกังสดาล เพื่อเป็นสัญญาณเปิดอาคารพิพิธภัณฑ์ ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ และมีพระราชดำรัสถึงรายละเอียดสิ่งของและวัตถุสะสมต่างๆ ด้วยความสนพระราชหฤทัย อาทิ รถยนต์คันเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ม.จ.ภีศเดช รัชนี สำหรับใช้ปฏิบัติงานของโครงการหลวง, นิทรรศการผลงานภาพถ่ายของชำนิ ทิพย์มณี และนพดล ขาวสำอางค์, เครื่องจักรดั้งเดิมที่หลงเหลือจากการกู้ซาก หลังประสบอุทกภัย ในการนี้ ยังได้ทอดพระเนตรอากงวาดรูป และการแสดงดนตรีโดยอากงอีกท่านหนึ่งเป็นผู้สีซอถวาย ในท่วงทำนองเพลงจีนโบราณ ทรงรับสั่งโต้ตอบภาษาจีน พร้อมขอโน้ตเพลงจากอากงไว้เป็นที่ระลึกด้วย และที่นำความซาบซึ้งแก่คณะบุคคลที่ร่วมเฝ้ารับเสด็จ ระหว่างที่ทรงพระดำเนินถึง "บ้านดินจำลอง" ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจำลองวิถีชีวิตที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวจีนในบ้านยาง สมเด็จพระเทพฯ ทรงรับสั่งกับคนงานของโรงงานหลวง ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เศร้าเสียใจอยู่ในภาพยนตร์รำลึกเหตุการณ์น้ำป่า ที่จัดฉายอยู่ในพิพิธภัณฑ์ด้วยว่า "ไม่เป็นไร ฉันสร้างโรงงานใหม่ให้แล้ว ไม่ต้องเสียใจ" โอกาสนี้ ยังประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ ทอดพระเนตรแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ปลอดสารพิษของเกษตรกร ที่เข้าร่วมในโครงการ และเสวยสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดที่เด็ดมาจากในแปลงด้วย ทรงรับสั่งกับเกษตรกรว่า สร้างโรงงานใหม่ให้แล้ว ให้ช่วยกันปลูกสตรอว์เบอร์รี่ส่งมาขาย ในวันเสด็จพระราชดำเนินเปิดพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 วันนั้น นำความปิติแก่ชาวชุมชนบ้านยางอีกครั้ง เพราะนอกจากโรงงานสีเขียวแห่งใหม่แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์แหล่งการเรียนรู้ ที่สร้างโอกาสและการมีส่วนร่วมของชุมชน ภายใต้แนวคิด "ความพอเพียง เรียบง่ายเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและกลิ่นอายของโรงงานหลวง" พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้ากองงานความร่วมมือภายนอก 2 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในฐานะกรรมการ และเลขานุการ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด หัวเรือใหญ่งานนี้ เล่าว่าโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) นับเป็นโรงงานหลวงแห่งแรก ที่เริ่มต้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 เพื่อรองรับผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ โรงงานที่นี่ จะทำหน้าที่ผลิตสินค้าแปรรูปเกษตรบรรจุกระป๋อง อาทิ ลำไย ลิ้นจี่กระป๋อง รวมทั้งลูกพีชในน้ำเชื่อมบรรจุขวดซึ่งเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่รับสั่งให้ริเริ่มบรรจุสินค้าในขวดแก้ว เพราะเป็นวัสดุที่รีไซเคิลได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์ผลิตแยมผลไม้ บ๊วย และสตรอว์เบอร์รี่แช่แข็ง และน้ำดื่มภายใต้เครื่องหมายตราสินค้า "ดอยคำ" "พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 มีมิติใหม่ที่น่าสนใจของการพัฒนาหลายด้าน โดยนำเอาแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีราษฎรเป็นศูนย์กลาง โรงงานแห่งใหม่ ยังสร้างขึ้นด้วยแนวคิดโรงงานสีเขียว เพื่อเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การวัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน ใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำการใช้ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด" พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) เปิดต้อนรับให้ผู้สนใจเดินทางเข้าชมแล้วตั้งแต่วันนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบและจัดแสดงไว้ได้อย่างน่าสนใจ การันตีโดยฝีมือกูรูพิพิธภัณฑ์เมืองไทย เกล้ามาศ ยิบอินซอย ประธานกรรมการ มูลนิธิเกี่ยวกับศิลปะ ที่เคยร่วมปรับปรุงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ร่วมด้วยมือดีอีกหลายแวดวงอาทิ บริษัท อินทีเรีย อาร์คิเทกเชอร์ 103, รักลูกกรุ๊ป ที่ตั้งใจอย่างมากให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ จากชุมชนที่อยู่โดยรอบ สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับผู้มาเยี่ยมเยือนท่ามกลางอ้อมกอดของโรงงานหลวงที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ หลังเขาแห่งนี้ ผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstroyalfanctory.org
บรรยายใต้ภาพ ทอดพระเนตรแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ ปลอดสารพิษของเกษตรกร ทอดพระเนตรอากงวาดรูป และการแสดงดนตรีสีซอถวาย พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กราบบังคมทูลรายงานตลอดเส้นทางพระดำเนิน รถยนต์คันเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ใช้ในกิจการโครงการหลวง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Friday, January 23, 2009 07:4944735 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 มีมิติใหม่ที่น่าสนใจของการพัฒนาหลายด้าน โดยนำเอาแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเอยู่หัว การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยมีราษฎรเป็นศูนย์กลาง โรงงานแห่งใหม่ ยังสร้างขึ้นด้วยแนวคิดโรงงานสีเขียว เพื่อเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่นเดียวกับโอกาสใหม่ ที่ผลิบานขึ้นอีกครั้ง ในชุมชนหมู่บ้านยาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วันนี้ โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) โรงงานหลวงแห่งแรก ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยและโคลนถล่ม เมื่อเดือนตุลาคม 2549 ได้รับการพลิกฟื้นให้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ตามพระราชดำริที่ให้พัฒนาพื้นที่เดิมที่ได้รับความเสียหาย ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต (living SITE Museum) นำเสนอองค์ความรู้ผ่านนิทรรศการวัตถุสะสม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในชุมชน เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ควบคู่กับ "โรงงานสีเขียว" ที่สร้างขึ้นใหม่ โอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากทรงตีกังสดาล เพื่อเป็นสัญญาณเปิดอาคารพิพิธภัณฑ์ ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ และมีพระราชดำรัสถึงรายละเอียดสิ่งของและวัตถุสะสมต่างๆ ด้วยความสนพระราชหฤทัย อาทิ รถยนต์คันเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ม.จ.ภีศเดช รัชนี สำหรับใช้ปฏิบัติงานของโครงการหลวง, นิทรรศการผลงานภาพถ่ายของชำนิ ทิพย์มณี และนพดล ขาวสำอางค์, เครื่องจักรดั้งเดิมที่หลงเหลือจากการกู้ซาก หลังประสบอุทกภัย ในการนี้ ยังได้ทอดพระเนตรอากงวาดรูป และการแสดงดนตรีโดยอากงอีกท่านหนึ่งเป็นผู้สีซอถวาย ในท่วงทำนองเพลงจีนโบราณ ทรงรับสั่งโต้ตอบภาษาจีน พร้อมขอโน้ตเพลงจากอากงไว้เป็นที่ระลึกด้วย และที่นำความซาบซึ้งแก่คณะบุคคลที่ร่วมเฝ้ารับเสด็จ ระหว่างที่ทรงพระดำเนินถึง "บ้านดินจำลอง" ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจำลองวิถีชีวิตที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวจีนในบ้านยาง สมเด็จพระเทพฯ ทรงรับสั่งกับคนงานของโรงงานหลวง ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เศร้าเสียใจอยู่ในภาพยนตร์รำลึกเหตุการณ์น้ำป่า ที่จัดฉายอยู่ในพิพิธภัณฑ์ด้วยว่า "ไม่เป็นไร ฉันสร้างโรงงานใหม่ให้แล้ว ไม่ต้องเสียใจ" โอกาสนี้ ยังประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ ทอดพระเนตรแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ปลอดสารพิษของเกษตรกร ที่เข้าร่วมในโครงการ และเสวยสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดที่เด็ดมาจากในแปลงด้วย ทรงรับสั่งกับเกษตรกรว่า สร้างโรงงานใหม่ให้แล้ว ให้ช่วยกันปลูกสตรอว์เบอร์รี่ส่งมาขาย ในวันเสด็จพระราชดำเนินเปิดพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 วันนั้น นำความปิติแก่ชาวชุมชนบ้านยางอีกครั้ง เพราะนอกจากโรงงานสีเขียวแห่งใหม่แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์แหล่งการเรียนรู้ ที่สร้างโอกาสและการมีส่วนร่วมของชุมชน ภายใต้แนวคิด "ความพอเพียง เรียบง่ายเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและกลิ่นอายของโรงงานหลวง" พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้ากองงานความร่วมมือภายนอก 2 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในฐานะกรรมการ และเลขานุการ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด หัวเรือใหญ่งานนี้ เล่าว่าโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) นับเป็นโรงงานหลวงแห่งแรก ที่เริ่มต้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 เพื่อรองรับผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ โรงงานที่นี่ จะทำหน้าที่ผลิตสินค้าแปรรูปเกษตรบรรจุกระป๋อง อาทิ ลำไย ลิ้นจี่กระป๋อง รวมทั้งลูกพีชในน้ำเชื่อมบรรจุขวดซึ่งเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่รับสั่งให้ริเริ่มบรรจุสินค้าในขวดแก้ว เพราะเป็นวัสดุที่รีไซเคิลได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์ผลิตแยมผลไม้ บ๊วย และสตรอว์เบอร์รี่แช่แข็ง และน้ำดื่มภายใต้เครื่องหมายตราสินค้า "ดอยคำ" "พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 มีมิติใหม่ที่น่าสนใจของการพัฒนาหลายด้าน โดยนำเอาแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีราษฎรเป็นศูนย์กลาง โรงงานแห่งใหม่ ยังสร้างขึ้นด้วยแนวคิดโรงงานสีเขียว เพื่อเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การวัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน ใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำการใช้ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด" พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) เปิดต้อนรับให้ผู้สนใจเดินทางเข้าชมแล้วตั้งแต่วันนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบและจัดแสดงไว้ได้อย่างน่าสนใจ การันตีโดยฝีมือกูรูพิพิธภัณฑ์เมืองไทย เกล้ามาศ ยิบอินซอย ประธานกรรมการ มูลนิธิเกี่ยวกับศิลปะ ที่เคยร่วมปรับปรุงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ร่วมด้วยมือดีอีกหลายแวดวงอาทิ บริษัท อินทีเรีย อาร์คิเทกเชอร์ 103, รักลูกกรุ๊ป ที่ตั้งใจอย่างมากให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ จากชุมชนที่อยู่โดยรอบ สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับผู้มาเยี่ยมเยือนท่ามกลางอ้อมกอดของโรงงานหลวงที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ หลังเขาแห่งนี้ ผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstroyalfanctory.org
บรรยายใต้ภาพ ทอดพระเนตรแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ ปลอดสารพิษของเกษตรกร ทอดพระเนตรอากงวาดรูป และการแสดงดนตรีสีซอถวาย พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กราบบังคมทูลรายงานตลอดเส้นทางพระดำเนิน รถยนต์คันเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ใช้ในกิจการโครงการหลวง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Love for our King
"Love for our King"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, January 19, 2009 10:0938657 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในสโมสรการกุศลรุ่นใหญ่ แหล่งรวมบรรดาสตรีนักธุรกิจ และสาวสังคมใต้ฟ้าเมืองไทยหัวใจเพื่อสังคม...วันก่อน สโมสรซอนต้า ประเทศไทย จัดงานกาลาดินเนอร์การกุศลครั้งใหญ่ ต้อนรับปีฉลู ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ทั้งที ยังคงคับคั่งทั้งแขกวีไอพี และบรรดาซอนเชี่ยน ที่มาร่วมงานกันเหนียวแน่นเหมือนเช่นเคย ในงานการกุศล "Love for our King รวมใจเปล่งประกาย น้อมถวายจงรักภักดี" โดยสโมสรซอนต้า ประเทศไทยคณะผู้จงรักภักดี ร่วมกับ SARCAR Geneva บริษัทนาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์ จัดทำนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน ขึ้นเป็นพิเศษอีกแบบหนึ่งเพื่อนำมาจัดจำหน่าย หารายได้สมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา ในการนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธาน ทรงประทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน และประทานนาฬิกาแก่ผู้ที่มีจิตกุศลซื้อนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติดังกล่าว และเสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับคณะทำงานและคณะผู้จงรักภักดี อาทิเช่น พรเสก-ลาลีวรรณ กาญจนจารี น.พ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ คุณหญิงจินดา จรุงเจริญเวชช์ ขรรค์ ประจวบเหมาะ ณินทิรา โสภณพนิช คุณหญิงโรส บริบาลบุรีภัณฑ์ ฯลฯ การจัดงานครั้งนี้ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดยแม่งานใหญ่ ลาลีวรรณ กาญจนจารี ในฐานะประธานจัดงานเล่าว่า ครั้งแรกเริ่มจัดตั้งแต่ปี 2549 และมาถึงปีนี้ จัดทำนาฬิกาออกมาจำหน่ายและประมูลรวมกันทั้งหมด 11 รุ่น ราคาตั้งแต่ 2.5 แสน-25 ล้านบาท ความพิเศษ คือ ทุกเรือนจะมีพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และด้านหลังสลักข้อความที่มีความหมายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันคล้ายพระราชสมภพ 80 ชันษา และครองราชย์ 60 ปี ไฮไลต์ของงานคืนนั้นยังถูกเนรมิตให้เป็นแคทวอล์คย่อมๆ โดยแฟชั่นโชว์จากนายแบบ นางแบบลูกหลาน และคู่รักคนดังเฉิดฉายออกมาพร้อมนาฬิกาการกุศลรุ่นพิเศษ อาทิเช่น คู่หวานฉ่ำของ เพิ่มศักดิ์ ไกรฤกษ์ อภิชญา ณ ระนอง คู่หวานงานหมั้นระดับช้าง ลูกสาวสหฟาร์ม จารุวรรณ โชติเทวัญ ชลัคร ชีวเกษมสุข คู่ของทิพนันท์-ธาวิน ศรีเฟื่องฟุ้ง วรวุฒิ-นันทมาลี ภิรมย์-ภักดี พร้อมกับเสียงเพลงของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ที่วันนี้สลัดลุคเจ้าพ่อกรู๊ฟ ไรเดอร์ส มาในมาดชุดสูททักซิโด้ควงคู่ออกงานมากับภรรยาด้วย ก่อนจะปล่อยเวทีให้กับรุ่นใหญ่อย่างวุฒา ภิรมย์ภักดี ปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ ฯลฯ พร้อมด้วยโชว์ชุดพิเศษของคุณหญิงหมัด-ม.ร.ว.มาลินี จักรพันธุ์ และม.ร.ว.เบญจาภา ไกรฤกษ์ ที่มาครวญเพลงขับกล่อมกันเป็นคู่ดูโอ้ ปิดท้ายด้วยการขับร้องบทเพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" โดยคณะนักเรียนจากโรงเรียนมีฟ้า และคณะกรรมการของสโมสรซอนต้าประเทศไทย จบงาน แยกย้ายกลับบ้านด้วยความอิ่มใจ และอิ่มบุญ เพราะรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดงานกาลาดินเนอร์การกุศล "Love for our King รวมใจเปล่งประกาย น้อมถวายจงรักภักดี" ครั้งที่ 3 นี้ และจากการจัดจำหน่ายและประมูลนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน จะนำทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนาต่อไป
บรรยายใต้ภาพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทอดพระเนตรนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ คุณแม่คนดัง ดาริกา ปุณณกันต์ มากับคู่ซี้ ภัทรา ศิลาอ่อน ณินทิรา-คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ภูวดี คุณผลิน จารุวรรณ โชติเทวัญ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Monday, January 19, 2009 10:0938657 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในสโมสรการกุศลรุ่นใหญ่ แหล่งรวมบรรดาสตรีนักธุรกิจ และสาวสังคมใต้ฟ้าเมืองไทยหัวใจเพื่อสังคม...วันก่อน สโมสรซอนต้า ประเทศไทย จัดงานกาลาดินเนอร์การกุศลครั้งใหญ่ ต้อนรับปีฉลู ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ทั้งที ยังคงคับคั่งทั้งแขกวีไอพี และบรรดาซอนเชี่ยน ที่มาร่วมงานกันเหนียวแน่นเหมือนเช่นเคย ในงานการกุศล "Love for our King รวมใจเปล่งประกาย น้อมถวายจงรักภักดี" โดยสโมสรซอนต้า ประเทศไทยคณะผู้จงรักภักดี ร่วมกับ SARCAR Geneva บริษัทนาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์ จัดทำนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน ขึ้นเป็นพิเศษอีกแบบหนึ่งเพื่อนำมาจัดจำหน่าย หารายได้สมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา ในการนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธาน ทรงประทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน และประทานนาฬิกาแก่ผู้ที่มีจิตกุศลซื้อนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติดังกล่าว และเสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับคณะทำงานและคณะผู้จงรักภักดี อาทิเช่น พรเสก-ลาลีวรรณ กาญจนจารี น.พ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ คุณหญิงจินดา จรุงเจริญเวชช์ ขรรค์ ประจวบเหมาะ ณินทิรา โสภณพนิช คุณหญิงโรส บริบาลบุรีภัณฑ์ ฯลฯ การจัดงานครั้งนี้ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดยแม่งานใหญ่ ลาลีวรรณ กาญจนจารี ในฐานะประธานจัดงานเล่าว่า ครั้งแรกเริ่มจัดตั้งแต่ปี 2549 และมาถึงปีนี้ จัดทำนาฬิกาออกมาจำหน่ายและประมูลรวมกันทั้งหมด 11 รุ่น ราคาตั้งแต่ 2.5 แสน-25 ล้านบาท ความพิเศษ คือ ทุกเรือนจะมีพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และด้านหลังสลักข้อความที่มีความหมายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันคล้ายพระราชสมภพ 80 ชันษา และครองราชย์ 60 ปี ไฮไลต์ของงานคืนนั้นยังถูกเนรมิตให้เป็นแคทวอล์คย่อมๆ โดยแฟชั่นโชว์จากนายแบบ นางแบบลูกหลาน และคู่รักคนดังเฉิดฉายออกมาพร้อมนาฬิกาการกุศลรุ่นพิเศษ อาทิเช่น คู่หวานฉ่ำของ เพิ่มศักดิ์ ไกรฤกษ์ อภิชญา ณ ระนอง คู่หวานงานหมั้นระดับช้าง ลูกสาวสหฟาร์ม จารุวรรณ โชติเทวัญ ชลัคร ชีวเกษมสุข คู่ของทิพนันท์-ธาวิน ศรีเฟื่องฟุ้ง วรวุฒิ-นันทมาลี ภิรมย์-ภักดี พร้อมกับเสียงเพลงของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ที่วันนี้สลัดลุคเจ้าพ่อกรู๊ฟ ไรเดอร์ส มาในมาดชุดสูททักซิโด้ควงคู่ออกงานมากับภรรยาด้วย ก่อนจะปล่อยเวทีให้กับรุ่นใหญ่อย่างวุฒา ภิรมย์ภักดี ปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ ฯลฯ พร้อมด้วยโชว์ชุดพิเศษของคุณหญิงหมัด-ม.ร.ว.มาลินี จักรพันธุ์ และม.ร.ว.เบญจาภา ไกรฤกษ์ ที่มาครวญเพลงขับกล่อมกันเป็นคู่ดูโอ้ ปิดท้ายด้วยการขับร้องบทเพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" โดยคณะนักเรียนจากโรงเรียนมีฟ้า และคณะกรรมการของสโมสรซอนต้าประเทศไทย จบงาน แยกย้ายกลับบ้านด้วยความอิ่มใจ และอิ่มบุญ เพราะรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดงานกาลาดินเนอร์การกุศล "Love for our King รวมใจเปล่งประกาย น้อมถวายจงรักภักดี" ครั้งที่ 3 นี้ และจากการจัดจำหน่ายและประมูลนาฬิการุ่นเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน จะนำทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนาต่อไป
บรรยายใต้ภาพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทอดพระเนตรนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ คุณแม่คนดัง ดาริกา ปุณณกันต์ มากับคู่ซี้ ภัทรา ศิลาอ่อน ณินทิรา-คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ภูวดี คุณผลิน จารุวรรณ โชติเทวัญ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
อ่อนช้อยทรงพลัง ศิลปะพู่กัน "ท่านทูตจีน"
อ่อนช้อยทรงพลัง ศิลปะพู่กัน "ท่านทูตจีน"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Thursday, January 15, 2009 06:418905 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
มากด้วยบทบาท ความสามารถ และเป็นท่านทูตที่ครองใจคนไทยหลายคน เพราะไม่ใช่แค่พูดไทยได้คล่องแต่ยังเคยมาประจำอยู่เมืองไทยแล้วถึง 3 ครั้ง ล่าสุด ในใกล้ครบวาระตำแหน่ง 4 ปี ท่านทูต จาง จิ่ว หวน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ทิ้งทวน ด้วยการนำผลงานศิลปะส่วนตัวและบทกวีคำคม ผ่านเส้นสายลายพู่กันจีน กว่า 136 ภาพ มาเปิดแสดงนิทรรศการเป็นครั้งแรก โอกาสนี้ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาเปิดนิทรรศการ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะฉายถึงความงดงาม อ่อนช้อยแต่ทรงพลัง ผ่านศิลปะปลายพู่กันที่แฝงไว้ด้วยแง่คิดในกวีแต่ละบท ตวัดพู่กันสร้างสรรค์ผลงานทั้งหมดขึ้นในช่วงที่อยู่เมืองไทย ข้างหลังนิทรรศการนี้ ยังฉายถึงสัมพันธ์ไทย-จีน ที่แนบแน่น เพราะเพียงแค่ในวันแรกของการเปิดจองภาพ คลาคล่ำทั้งเศรษฐีระดับเจ้าสัว นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนรุ่นใหญ่ ตัวแทนสมาคมชาวจีนทั่วเมืองไทยที่พร้อมใจมาร่วมชื่นชมนิทรรศการ และจับจองผลงานกันคับคั่ง อาทิ ชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ, ไกรสร จันศิริ นายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศ, สุธี มีนชัยนันท์ ประธานหอการค้าไทย-จีน, วิชิต ลอลือเลิศ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยประเทศจีน รวมถึง กรวิทย์ สุพุทธิพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นานมี จำกัด ฯลฯ และที่ทำเอาท่านทูต จาง จิ่ว หวน ต้องยิ้มไม่หุบเพราะต้องยืนโพสต์ท่าร่วมกับแขกเหรื่อในงาน ที่รุมจองคิวขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ท่านทูต เล่าว่า ถึงแม้มีเวลาว่างน้อย แต่เพราะความรักในบทกลอน และการเขียนพู่กัน มาตั้งแต่เด็กๆ จึงรู้สึกสุขใจทุกครั้ง ที่ได้จับพู่กันสร้างสรรค์งาน โอกาสนี้ยังเผยถึงความรู้สึก ความผูกพันก่อนจะอำลาเมืองไทยว่า "ผมเคยทำงานที่เมืองไทย 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกปี 2518 ต่อมาในปี 2531 และครั้งล่าสุดปี 2547 ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมได้มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ที่พัฒนาไปต่อเนื่อง ยิ่งทำให้มั่นใจว่า ความสัมพันธ์นี้ได้หยั่งรากลึกไว้ในหัวใจของคนสองประเทศแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปภายนอก ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์นี้ได้" ท่านทูต จาง จิ่ว หวน หยอดคำหวานทิ้งท้าย สำหรับนิทรรศการบทกวีและศิลปะพู่กันจีนครั้งนี้ จะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 16 มกราคม นี้ ตั้งแต่เวลา 9.00-17.30 น. ที่อาคารบริษัทนานมี ถนนสาทรเหนือ
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระอักษรภาจีน ในวันเปิดนิทรรศการ เอคอัครราชทูตจีน พร้อมภริยา ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับผู้จองภาพในงาน ส่วนหนึ่งของบทกวี คำคม ที่จัดแสดงในงาน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Thursday, January 15, 2009 06:418905 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
มากด้วยบทบาท ความสามารถ และเป็นท่านทูตที่ครองใจคนไทยหลายคน เพราะไม่ใช่แค่พูดไทยได้คล่องแต่ยังเคยมาประจำอยู่เมืองไทยแล้วถึง 3 ครั้ง ล่าสุด ในใกล้ครบวาระตำแหน่ง 4 ปี ท่านทูต จาง จิ่ว หวน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ทิ้งทวน ด้วยการนำผลงานศิลปะส่วนตัวและบทกวีคำคม ผ่านเส้นสายลายพู่กันจีน กว่า 136 ภาพ มาเปิดแสดงนิทรรศการเป็นครั้งแรก โอกาสนี้ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาเปิดนิทรรศการ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะฉายถึงความงดงาม อ่อนช้อยแต่ทรงพลัง ผ่านศิลปะปลายพู่กันที่แฝงไว้ด้วยแง่คิดในกวีแต่ละบท ตวัดพู่กันสร้างสรรค์ผลงานทั้งหมดขึ้นในช่วงที่อยู่เมืองไทย ข้างหลังนิทรรศการนี้ ยังฉายถึงสัมพันธ์ไทย-จีน ที่แนบแน่น เพราะเพียงแค่ในวันแรกของการเปิดจองภาพ คลาคล่ำทั้งเศรษฐีระดับเจ้าสัว นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนรุ่นใหญ่ ตัวแทนสมาคมชาวจีนทั่วเมืองไทยที่พร้อมใจมาร่วมชื่นชมนิทรรศการ และจับจองผลงานกันคับคั่ง อาทิ ชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ, ไกรสร จันศิริ นายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศ, สุธี มีนชัยนันท์ ประธานหอการค้าไทย-จีน, วิชิต ลอลือเลิศ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยประเทศจีน รวมถึง กรวิทย์ สุพุทธิพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นานมี จำกัด ฯลฯ และที่ทำเอาท่านทูต จาง จิ่ว หวน ต้องยิ้มไม่หุบเพราะต้องยืนโพสต์ท่าร่วมกับแขกเหรื่อในงาน ที่รุมจองคิวขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ท่านทูต เล่าว่า ถึงแม้มีเวลาว่างน้อย แต่เพราะความรักในบทกลอน และการเขียนพู่กัน มาตั้งแต่เด็กๆ จึงรู้สึกสุขใจทุกครั้ง ที่ได้จับพู่กันสร้างสรรค์งาน โอกาสนี้ยังเผยถึงความรู้สึก ความผูกพันก่อนจะอำลาเมืองไทยว่า "ผมเคยทำงานที่เมืองไทย 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกปี 2518 ต่อมาในปี 2531 และครั้งล่าสุดปี 2547 ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมได้มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ที่พัฒนาไปต่อเนื่อง ยิ่งทำให้มั่นใจว่า ความสัมพันธ์นี้ได้หยั่งรากลึกไว้ในหัวใจของคนสองประเทศแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปภายนอก ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์นี้ได้" ท่านทูต จาง จิ่ว หวน หยอดคำหวานทิ้งท้าย สำหรับนิทรรศการบทกวีและศิลปะพู่กันจีนครั้งนี้ จะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 16 มกราคม นี้ ตั้งแต่เวลา 9.00-17.30 น. ที่อาคารบริษัทนานมี ถนนสาทรเหนือ
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระอักษรภาจีน ในวันเปิดนิทรรศการ เอคอัครราชทูตจีน พร้อมภริยา ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับผู้จองภาพในงาน ส่วนหนึ่งของบทกวี คำคม ที่จัดแสดงในงาน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ยอดมรดก11ตระกูลดัง
ยอดมรดก11ตระกูลดัง Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, January 13, 2009 11:3659644 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ต้อนรับต้นปีเมื่อ 11 ตระกูลดังของเมืองไทย พร้อมใจกันนำมรดกล้ำค่าประจำตระกูล ออกมาโชว์ร่วมกันครั้งแรก ในงานเฉลิมฉลองความสำเร็จ 60 ปี ไทยสมุทรประกันชีวิต ที่มิวเซียมสยาม ท่าเตียน พร้อมร่วมโพสท่าเป็นแบบกิตติมศักดิ์ ในนิทรรศการภาพถ่าย ที่กดชัตเตอร์โดยช่างภาพพอร์ตเทรทคนดัง นิติกร กรัยวิเชียร หลายตระกูลที่ตอบรับคำเชิญมาร่วมงานนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับคนในครอบครัว 'อัสสกุล' ตระกูลใหญ่ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรไทยสมุทรประกันชีวิต โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และอีกสารพัดธุรกิจในเครือโอเชี่ยนกรุ๊ป 11 ตระกูลที่ร่วมแสดงสมบัติล้ำค่าในงานนี้ มีทั้งศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ กับนาฬิกาพก Patek Philippe มรดกตกทอดจากเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5, ภัทรา ศิลาอ่อน กับมรดกที่ไม่ใช่สิ่งของเครื่องประดับ แต่เป็น 'ใบปริญญาบัตร' เพราะความรู้ และการศึกษาคือ มรดกที่พ่อแม่ให้ความสำคัญ, ยุวดี จิราธิวัฒน์ ที่มี 'คำสอน' จากคุณพ่อ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เจ้าของตำนานความยิ่งใหญ่ของเซ็นทรัล มอบให้แต่เล็กจนโต ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กับ 'นาฬิกาโบราณ' เรือนใหญ่ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้กับสมเด็จทวด คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่แผงความหมายถึงพระราชประสงค์ที่ต้องการให้ตั้งนาฬิกาไว้ ณ วังวรดิศเพื่อสอนให้ชาวสยามในสมัยนั้น รู้จักเรื่องความตรงต่อเวลา, ชาย ศรีวิกรม์ กับ'ใบหุ้นของบริษัท' สยามอินเตอร์คอน ที่คุณปู่และคุณพ่อ ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 44 ปีที่แล้วเป็นมรดกที่แสดงถึงโอกาสและความรับผิดชอบของตระกูล กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กับโน้ตสุดท้าย ที่คุณแม่เขียนและมอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต, สุภาพรรณ-ณัฐปรี พิชัยณรรงค์สงคราม กับต่างหูที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้กับคุณแม่, กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล กับแท่นแก้วจารึกคำสอนของพ่อ, วิภาดา โทณวณิก-พิมพ์สิริ ณ สงขลา กับพานแจกันมรดกตกทอดตั้งแต่สมัยเจ้าจอมมารดาเลื่อนในรัชกาลที่ 5 และท่านผู้หญิงวิวรรณ เศรษฐบุตร ภูมิใจใน "ฆ้อนแก้โรว์" ของตระกุลวรรณที่ท่านพ่อ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ คนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ มอบให้ไว้ ฆ้อนนี้จะใช้เคาะ เมื่อจะลงมติในสหประชาชาติ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการค้ำจุนสันติภาพในโลก ส่วนจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ขอนำไม้ตะพดประจำตัวที่คุณปู่ พระยาภิรมย์ภักดี เคยใช้ที่ทุกวันนี้ยังผูกพันอยู่ในใจเสมอ แม้จะเกิดไม่ทันได้พบคุณปู่ก็ตาม นอกจากจะใช้เป็นไม้เท้า ไม้ตะพดยังสามารถเป็นอาวุธได้อีกด้วย มรดกชิ้นนี้ จึงเป็นเรื่องจากลูกชายสู่ลูกชายจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลภิรมย์ภักดี มรดกสืบทอดประจำแต่ละตระกูลสูงค่าเกินกว่าจะประเมินด้วยตัวเลข เพราะมีความหมายทางใจจากรุ่นสู่รุ่น แต่ละชิ้นล้วนมีความพิเศษ และหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และที่น่าสนใจ คือ หลายๆ ตระกูลมหาเศรษฐี ธุรกิจใหญ่ของเมืองไทย ต่างยกให้ยอดของมรดกล้ำค่าที่สุด คือ คำสอนสั่ง จากผู้อาวุโสที่จากไปแล้ว แต่มอบหลักคิดๆ ให้รุ่นลูกรุ่นหลานไว้ยึดมั่น ไม่ว่าจะเป็น แง่คิดการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจที่เจ้าสัวสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ถ่ายทอดให้กับลูกหลาน ที่รวบรวมไว้อยู่ในหนังสือเล่มโต ที่เรียกได้ว่าเล่มนี้ไม่ต่างหนังสือสามัญประจำตระกูลที่ทุกคนในครอบครัวจิราธิวัฒน์จะต้องมีกันไว้ทุกบ้าน "เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้ แต่ก็หมดไปได้เช่นกัน แต่คำสอน ถ้าเราพร่ำสอนลูกหลานเสมอ และถือปฏิบัติเป็นตัวอย่าง คำสอนนี้ ก็จะติดตัวไปกับพวกเราตลอดไป" ยุวดี จิราธิวัฒน์ เจ้าแม่เซ็นทรัลชิดลม ถ่ายทอดมุมมองเอาไว้เช่นนั้น เช่นเดียวกับอีกสมบัติชิ้นสำคัญที่กินใจจนมครเห็นอาจต้องน้ำตาซึม เพราะเป็นมรดกกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ของสมาชิกครอบครัวสุริยสัตย์ ที่ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เลือกมาจัดแสดง เพราะบนหัวกระดาษเขียนด้วยลายมือว่า Last Note ! เป็นโน้ตที่ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ พยายามจับปากกานั่งเขียนริมหน้าต่างในโรงพยาบาล กลั่นความคิดที่มีอยู่ในช่วงใกล้ถึงวาระสุดท้าย ด้วยคำสอนที่เน้นถึง "ความรักและความสามัคคีที่มีต่อกัน ไม่ทอดทิ้งกัน" ปิดท้ายกันด้วยไฮไลต์มรดกตระกูลสำคัญของงาน ซึ่งคงเป็นใครไม่ได้ นั่นคือเจ้าภาพของงานนี้ ที่สามศรีพี่น้องหัวเรือใหญ่ตระกูลอัสสกุล กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล ร่วมกันถ่ายทอดความผูกพันถึงสมบัติล้ำค่าที่สุด ที่กฤษณ์ อัสสกุล ผู้พ่อที่สร้างความยิ่งใหญ่ของไทยสมุทรประกันชีวิต นั่นคือ มรดก "คำสอนของพ่อ" ที่จารึกอยู่บนแท่นแก้ว และบอกเอาไว้ว่า "เหมือนกับลูก เหมือนกับน้อง" มอบไว้เตือนใจให้กับลูกๆ และพนักงานทุกคน "คำสอนที่สำคัญของคุณพ่อ ฟังดูง่าย แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง คือ คำว่าให้รักลูกน้องเหมือนลูกและเหมือนน้อง นั่นคือเราจะต้องคิดเป็นห่วงว่าเขาได้รับความรู้ ได้พัฒนาไหม มีความสุขไหม ครอบครัวเขามีปัญหาไหม เรามีทางจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ไหม จากคำสอนเหล่านี้ทำให้พนักงานมีความเป็น Ocean Spirit สูงมาก นั่นคือมีความรักในองค์กร พร้อมจะทุ่มเทให้บริษัทตลอดเวลา ไม่เลือกงาน ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่" นุสรา อัสสกุล ถ่ายทอดไว้เช่นนั้น ยอดแห่งมรดกจึงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากแต่เป็นคำสอนที่จะคงอยู่ในใจไปตราบเท่านาน แม้จะก้าวข้ามผ่านยุคสมัยและความเปลี่ยนแปลง จากรุ่นสู่รุ่น...และถึงวันนี้จะไม่มีเสียงที่ดังกังวานของ กฤษณ์ อัสสกุล เจ้าตำนานไทยสมุทรประกันชีวิต เหมือนเมื่อครั้งวันวาน แต่ปณิธานของเขาจะยังคงอยู่ และไม่เคยจากไปไหน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Tuesday, January 13, 2009 11:3659644 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ต้อนรับต้นปีเมื่อ 11 ตระกูลดังของเมืองไทย พร้อมใจกันนำมรดกล้ำค่าประจำตระกูล ออกมาโชว์ร่วมกันครั้งแรก ในงานเฉลิมฉลองความสำเร็จ 60 ปี ไทยสมุทรประกันชีวิต ที่มิวเซียมสยาม ท่าเตียน พร้อมร่วมโพสท่าเป็นแบบกิตติมศักดิ์ ในนิทรรศการภาพถ่าย ที่กดชัตเตอร์โดยช่างภาพพอร์ตเทรทคนดัง นิติกร กรัยวิเชียร หลายตระกูลที่ตอบรับคำเชิญมาร่วมงานนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับคนในครอบครัว 'อัสสกุล' ตระกูลใหญ่ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรไทยสมุทรประกันชีวิต โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และอีกสารพัดธุรกิจในเครือโอเชี่ยนกรุ๊ป 11 ตระกูลที่ร่วมแสดงสมบัติล้ำค่าในงานนี้ มีทั้งศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ กับนาฬิกาพก Patek Philippe มรดกตกทอดจากเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5, ภัทรา ศิลาอ่อน กับมรดกที่ไม่ใช่สิ่งของเครื่องประดับ แต่เป็น 'ใบปริญญาบัตร' เพราะความรู้ และการศึกษาคือ มรดกที่พ่อแม่ให้ความสำคัญ, ยุวดี จิราธิวัฒน์ ที่มี 'คำสอน' จากคุณพ่อ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เจ้าของตำนานความยิ่งใหญ่ของเซ็นทรัล มอบให้แต่เล็กจนโต ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กับ 'นาฬิกาโบราณ' เรือนใหญ่ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้กับสมเด็จทวด คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่แผงความหมายถึงพระราชประสงค์ที่ต้องการให้ตั้งนาฬิกาไว้ ณ วังวรดิศเพื่อสอนให้ชาวสยามในสมัยนั้น รู้จักเรื่องความตรงต่อเวลา, ชาย ศรีวิกรม์ กับ'ใบหุ้นของบริษัท' สยามอินเตอร์คอน ที่คุณปู่และคุณพ่อ ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 44 ปีที่แล้วเป็นมรดกที่แสดงถึงโอกาสและความรับผิดชอบของตระกูล กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กับโน้ตสุดท้าย ที่คุณแม่เขียนและมอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต, สุภาพรรณ-ณัฐปรี พิชัยณรรงค์สงคราม กับต่างหูที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้กับคุณแม่, กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล กับแท่นแก้วจารึกคำสอนของพ่อ, วิภาดา โทณวณิก-พิมพ์สิริ ณ สงขลา กับพานแจกันมรดกตกทอดตั้งแต่สมัยเจ้าจอมมารดาเลื่อนในรัชกาลที่ 5 และท่านผู้หญิงวิวรรณ เศรษฐบุตร ภูมิใจใน "ฆ้อนแก้โรว์" ของตระกุลวรรณที่ท่านพ่อ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ คนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ มอบให้ไว้ ฆ้อนนี้จะใช้เคาะ เมื่อจะลงมติในสหประชาชาติ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการค้ำจุนสันติภาพในโลก ส่วนจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ขอนำไม้ตะพดประจำตัวที่คุณปู่ พระยาภิรมย์ภักดี เคยใช้ที่ทุกวันนี้ยังผูกพันอยู่ในใจเสมอ แม้จะเกิดไม่ทันได้พบคุณปู่ก็ตาม นอกจากจะใช้เป็นไม้เท้า ไม้ตะพดยังสามารถเป็นอาวุธได้อีกด้วย มรดกชิ้นนี้ จึงเป็นเรื่องจากลูกชายสู่ลูกชายจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลภิรมย์ภักดี มรดกสืบทอดประจำแต่ละตระกูลสูงค่าเกินกว่าจะประเมินด้วยตัวเลข เพราะมีความหมายทางใจจากรุ่นสู่รุ่น แต่ละชิ้นล้วนมีความพิเศษ และหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และที่น่าสนใจ คือ หลายๆ ตระกูลมหาเศรษฐี ธุรกิจใหญ่ของเมืองไทย ต่างยกให้ยอดของมรดกล้ำค่าที่สุด คือ คำสอนสั่ง จากผู้อาวุโสที่จากไปแล้ว แต่มอบหลักคิดๆ ให้รุ่นลูกรุ่นหลานไว้ยึดมั่น ไม่ว่าจะเป็น แง่คิดการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจที่เจ้าสัวสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ถ่ายทอดให้กับลูกหลาน ที่รวบรวมไว้อยู่ในหนังสือเล่มโต ที่เรียกได้ว่าเล่มนี้ไม่ต่างหนังสือสามัญประจำตระกูลที่ทุกคนในครอบครัวจิราธิวัฒน์จะต้องมีกันไว้ทุกบ้าน "เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้ แต่ก็หมดไปได้เช่นกัน แต่คำสอน ถ้าเราพร่ำสอนลูกหลานเสมอ และถือปฏิบัติเป็นตัวอย่าง คำสอนนี้ ก็จะติดตัวไปกับพวกเราตลอดไป" ยุวดี จิราธิวัฒน์ เจ้าแม่เซ็นทรัลชิดลม ถ่ายทอดมุมมองเอาไว้เช่นนั้น เช่นเดียวกับอีกสมบัติชิ้นสำคัญที่กินใจจนมครเห็นอาจต้องน้ำตาซึม เพราะเป็นมรดกกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ของสมาชิกครอบครัวสุริยสัตย์ ที่ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เลือกมาจัดแสดง เพราะบนหัวกระดาษเขียนด้วยลายมือว่า Last Note ! เป็นโน้ตที่ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ พยายามจับปากกานั่งเขียนริมหน้าต่างในโรงพยาบาล กลั่นความคิดที่มีอยู่ในช่วงใกล้ถึงวาระสุดท้าย ด้วยคำสอนที่เน้นถึง "ความรักและความสามัคคีที่มีต่อกัน ไม่ทอดทิ้งกัน" ปิดท้ายกันด้วยไฮไลต์มรดกตระกูลสำคัญของงาน ซึ่งคงเป็นใครไม่ได้ นั่นคือเจ้าภาพของงานนี้ ที่สามศรีพี่น้องหัวเรือใหญ่ตระกูลอัสสกุล กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล ร่วมกันถ่ายทอดความผูกพันถึงสมบัติล้ำค่าที่สุด ที่กฤษณ์ อัสสกุล ผู้พ่อที่สร้างความยิ่งใหญ่ของไทยสมุทรประกันชีวิต นั่นคือ มรดก "คำสอนของพ่อ" ที่จารึกอยู่บนแท่นแก้ว และบอกเอาไว้ว่า "เหมือนกับลูก เหมือนกับน้อง" มอบไว้เตือนใจให้กับลูกๆ และพนักงานทุกคน "คำสอนที่สำคัญของคุณพ่อ ฟังดูง่าย แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง คือ คำว่าให้รักลูกน้องเหมือนลูกและเหมือนน้อง นั่นคือเราจะต้องคิดเป็นห่วงว่าเขาได้รับความรู้ ได้พัฒนาไหม มีความสุขไหม ครอบครัวเขามีปัญหาไหม เรามีทางจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ไหม จากคำสอนเหล่านี้ทำให้พนักงานมีความเป็น Ocean Spirit สูงมาก นั่นคือมีความรักในองค์กร พร้อมจะทุ่มเทให้บริษัทตลอดเวลา ไม่เลือกงาน ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่" นุสรา อัสสกุล ถ่ายทอดไว้เช่นนั้น ยอดแห่งมรดกจึงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากแต่เป็นคำสอนที่จะคงอยู่ในใจไปตราบเท่านาน แม้จะก้าวข้ามผ่านยุคสมัยและความเปลี่ยนแปลง จากรุ่นสู่รุ่น...และถึงวันนี้จะไม่มีเสียงที่ดังกังวานของ กฤษณ์ อัสสกุล เจ้าตำนานไทยสมุทรประกันชีวิต เหมือนเมื่อครั้งวันวาน แต่ปณิธานของเขาจะยังคงอยู่ และไม่เคยจากไปไหน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
โลกอีกด้านของ "จิระนันท์ พิตรปรีชา"
คอลัมน์: BemyGuest: โลกอีกด้านของ "จิระนันท์ พิตรปรีชา" Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Saturday, December 13, 2008 11:4747860 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง/ศรัณย์ บุญประเสริฐ
ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องแนะนำกันมาก สำหรับผู้หญิงที่ชื่อ จิระนันท์ พิตรปรีชา เพราะกว่าครึ่งชีวิตของเธอเป็นบุคคลสาธารณะที่สังคมรู้จักมักคุ้น แต่จิระนันท์ คนที่ใครๆ ต่างรู้จักมีมากกว่าความเป็นกวีซีไรต์ นักเขียน นักแปลชื่อดัง หรือแม้แต่แค่ ไอคอนของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งสมัยเป็นนักศึกษา เธอเคยฝันอยากจะเป็นช่างภาพลุยๆ แบบนักข่าวสงคราม สมัยสงครามเวียดนาม ใครจะรู้ว่า หลายๆ ความฝันแม้จะไม่เป็นจริง แต่เป็นแรงขับดันให้เธอแพ็คกระเป๋าออกเดินทางแสวงหา ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตะลุยเดี่ยวไปทั้งโปรตุเกส โคลัมเปีย เอธิโอเปีย นิการากัว เปรู และอีกหลายต่อหลายประเทศ บนเส้นทางของนักเดินทางตัวยงครั้งหนึ่ง (นานมาแล้ว) จิระนันท์เป็นนักเขียนคนแรกๆ ที่เดินทางเข้าไปในลาวและเขียนเรื่องหลวงพระบางลงในอสท. เป็นคณะทัวร์บุกเบิกรุ่นแรกๆ ที่ไปลี่เจียง และจิ่วจ้ายโกว จนกระทั่งชื่อเรียก "อุทยานธารสวรรค์จิ่วจ้ายโกว" ที่เธอเป็นคนตั้ง กลายเป็นคำสุดฮิตในโฆษณาแทบทุกทัวร์ที่ไปที่นั่น ทุกวันนี้ จิระนันท์ ยังคงแพ็คกระเป๋าเดินทางอยู่เรื่อยๆ ทริปล่าสุด เธอเพิ่งกลับมาจากเกาะซาราวัค ที่รัฐบาลมาเลเซีย เชิญไปร่วมเป็นตัวแทนแต่งบทกวีนานาชาติ นอกจากก๊วนทัวร์ ชมรมท่องอุษาคเนย์ที่เคยกอดคอกันจัดร่วมกับ ธีรภาพ โลหิตกุล และกฤช ชลธาร์นนท์ เธอยังมีก๊วนเพื่อนนักวิชาการ ก๊วนนักเขียน ก๊วนกินอาหารอินเดีย ก๊วนชิมไวน์ ฯลฯ รวมถึงก๊วนช่างภาพ ที่รักการถ่ายรูป ใครจะรู้ว่าสมัยหนึ่งเธอคือเจ้าแม่ (เอเย่นต์) ปฏิทินตัวจริง ที่อยู่เบื้องหลังการประสานช่างภาพในชุดปฏิทินภาพถ่ายแนวสารคดีให้กับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ ล่าสุด เธอรวมกลุ่มกับเพื่อนพ้องในวงการช่างภาพ ก่อตั้งกลุ่ม สห+ภาพ จัดนิทรรศการภายถ่ายสัญจร "ตลาด...ยังไม่วาย" ครั้งแรก ที่ตลาดสามชุก ชีวิตของจิระนันท์ มีหลายด้านและทุกวันนี้เธอยังเป็นนักกิจกรรมตัวยง แม้ชีวิตของเธอจะไม่ได้มีแต่ด้านสว่าง แต่เธอผ่านชีวิตและดำเนินชีวิต เป็นใบไม้ ที่ยังคงสดใสร่าเริง ในวัยย่าง 54 ปี ด้วยวิธีบริหารชีวิตให้มีความสุข ในเส้นทางที่เธอเลือก... ที่บอกว่าการเดินทางและการถ่ายภาพเป็นเหมือนการวิ่งไล่ความฝันอย่างหนึ่งช่วยเล่าหน่อยค่ะ ความชอบถ่ายภาพนี่เริ่มมานานแล้ว ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งที่จุฬาก็อยู่ชมรมถ่ายภาพ ตอนนั้นคุณเดโช บูรณบรรพต เป็นประธานชมรม เราเป็นลูกน้องคอยสะพายกล้องเดินตามเขา ยังจำได้ว่าวันที่ได้รับเลือกเป็นดาวจุฬาฯ บนเวทีต้องแสดงความสามารถพิเศษ โอเคเลยพูดบทกวีสดๆ โดนถามต่อว่าแล้วทำอะไรได้อีก? ถ่ายรูปค่ะ ตอบอย่างองอาจมากเลยนะ ช่างภาพหน้าเวที เลยยื่นกล้องให้ เราเลยยกขึ้นมาถ่ายคนดูซะเลย (หัวเราะ) นั่นแหละความสามารถพิเศษ เรื่องถ่ายรูป ก็เลยเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในกระแสเลือด สมัยตอนเรียนจุฬาฯ ยุค 14 ตุลาฯ ยุคนั้นกรุงเทพฯ กลายเป็นแหล่งชุมนุมของนักข่าวช่างภาพระดับโลกที่เข้ามาทำข่าวสงครามเวียดนาม ตอนนั้นเลยมีความฝันอย่างหนึ่ง อยากเป็นนักข่าวช่างภาพลุยๆ แบบนักข่าวสงคราม ถึงจะไม่ได้เป็น แต่ความฝันพวกนี้มันเป็นแรงผลักดันจริงๆ เชื่อไหมว่าเคยไปถึงเปรู เอธิโอเปีย นิการากัวก็ยังเคยไป ไปคนเดียว เพราะความอยากพวกนี้วิ่งไล่ความฝัน โดยไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงหรืออะไรเลย แต่รู้ตัวว่า เรากำลังไล่ตามอะไรอยู่ บางเรื่องไม่มีเวลาเขียนด้วยซ้ำมัวไปแปลหนังสืออยู่ ต้องแพ็คกระเป๋าเดินทางทุกปี? ทุกปี จนกระทั่งตอนหลัง มาพบอีกช่องทางหนึ่ง คือ Poetry Festival เป็นงานเทศกาลกวีนิพนธ์นานาชาติ ไปเสิร์ชหาเจอทางอินเทอร์เน็ต ครั้งแรกเลยคือไปที่โปรตุเกส ปี 2000 ที่เมืองชื่อ Coimbra เห็นเมืองแล้วสวยมาก อยากไป เลยเขียนจดหมายไปถาม สมัครไปเองเลย ส่งประวัติผลงานไป ไปถึงทางนั้นเขารับรองให้หมด หาแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงเวลาก็ตระเวนขึ้นไปอ่านบทกวีตามจุดต่างๆ ที่จัดงาน ต่อจากนั้น ก็มีติดต่อไปร่วมเทศกาลกวีแบบนี้เรื่อย มีไปที่โคลัมเบีย เป็นงานเทศกาลกวีที่ใหญ่ที่สุดของโลกชื่อ International Poetry of Medellin แต่ดันไปจัดอยู่ในโคลัมเบีย เพราะคลั่งบทกวีกันทั้งเมือง ประเทศเขาคนอ่านออกเขียนได้ประมาณ 60% แต่ความเป็นกวีอยู่ที่ใจ อยู่ในสายเลือด อยู่ในวัฒนธรรม เวลาเดินทางไปประเทศแปลกๆ หรือไกลๆ เลยมักจะใช้ช่องทางนี้? ตอนหลังๆ ถ้าจะไปดินแดนลึกลับต้องไปด้วยวิธีนี้ นิการากัว เปรู ก็ไปมาแล้ว ถ้าไปงานอย่างนี้ เขามารับตั้งแต่หน้าสนามบินเลย มีคนมาดูแล แล้วรอบต่อไปถ้าจะไปเราก็รู้แล้ว การเดินทางไปพวกประเทศกลุ่มละตินอเมริกาจะยากตรงที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีไฟลต์บินตรงจากเอเชีย ส่วนใหญ่จะใช้ KLM แล้วไปต่อที่อัมสเตอร์ดัม รวมเวลาทั้งสิ้นสามสิบกว่าชั่วโมง เดินทางกับถ่ายภาพด้วยควบคู่กันไป? ก็มักจะอย่างนั้น แต่ระยะหลังๆ มักจะคู่กับช่างภาพ (หัวเราะ) จะมีช่างภาพตามไปถ่ายภาพด้วย พอใจฝักใฝ่อยู่กับเรื่องนี้ เวลาเจอช่างภาพก็จะรีบปรี่เข้าไปหา เข้าไปคุย เราเป็นคนดูรูปเป็นก็เลยยิ่งสนุกสุดขีด กับช่างภาพจะมีก๊วนหนึ่งที่นัดกินข้าวคุยกัน นัดมาฉายสไลด์ขึ้นจอโชว์รูปกัน เหมือนชมรมพระเครื่องแล้วด้วยความสมองใส เลยสร้างวีรกรรมเข้าไปประมูลงานปฏิทินจากบริษัทใหญ่ๆ ตั้งคอนเซปต์เลย เช่น เสนอทำเรื่องอุทยานแห่งชาติ แบ่งไปเลยใครมีรูปอะไรที่ไหน เอามาดูกัน แต่ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ก็เป็นจุดเปลี่ยน ปฏิทินก็เลิกทำจริงๆ เราทำเอาสนุก ไม่ได้คิดแบบแม่ค้า แต่สิ่งที่ได้มาอย่างมหาศาล คือได้เพื่อนคอเดียวกัน อย่าง น้าชำ ชำนิ ทิพย์มณี ปกติจะไปไหนถ่ายภาพคนเดียว แต่เราก็ดึงๆ ให้มาเข้ากลุ่มด้วยกัน แล้วทำไมถึงเลือกมาทำอาชีพเป็นกวี นักเขียน นักแปล แทนที่จะเป็นช่างภาพ ทำไป ทำมา รู้สึกว่าคนอื่นเขาถ่ายได้ดีอยู่แล้ว มันเหมือนกับทำอะไรมาจนอิ่มแล้วเลือกมาดูแลคนดีกว่า เรื่องอะไรจะไปแข่งกับพวกเขา ว่ากันว่า อาชีพกวี นักเขียน มักจะไส้แห้งมีวิธีบริหารชีวิตยังไงให้สมดุลค่ะ ก็ทำหลายอย่าง เพราะถ้าเป็นกวีอย่างเดียว คงไม่รอดเหมือนกันในแง่เศรษฐกิจ โอเคที่บ้านพอมีฐานะ แต่การพึ่งตนเองเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของชีวิตด้วย เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ดังนั้น เราก็ต้องคิดเรื่องนี้พอสมควร อย่างเรื่องปฏิทินก็เป็นทางออกทางหนึ่งของกวี เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของบทกวี ไปหารูปมาสิ ใส่กวีเข้าไปสี่บรรทัด แพ็คเกจจิ้งใหม่ ได้ราคาเลยใช่ไหม ถ้าไปขายแต่บทกวีเปล่าๆ เขาอาจจะไม่เอา วิธีคิดแบบนี้ เริ่มต้นมาจากไหน ไม่ได้เรียนมา แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ ทัศนคตินี้มาจากไหน มาจากการที่ออกจากป่ามา เราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่หมด เริ่มอันดับแรก ต้องเรียนหนังสือให้ดีเพื่อที่จะเอาทุนให้ได้ ซึ่งได้มาจริงๆ ตอนเรียนต่อปริญญาโท สมัครเรียนด้วยเกรดเกียรตินิยม ตอนที่ไปเรียนที่คอร์แนล มันไปเจอสิ่งที่เราถูกใจมากๆ แค่เซคชั่นเดียวในห้องสมุด มันค้นพบไปเรื่อยๆ แล้วความที่เราต้องคิดแล้วไง ออกมาจากป่ามันก็กลายเป็นนิสัยเราทำเพื่อความอยู่รอด ทำเพื่อศักดิ์ศรี อุดมการณ์ ทำเพื่อใจรัก หลายๆ อย่างมันต้องอยู่รวมกันให้ได้ ในที่สุดมันก็ยำรวมออกมาเป็นสูตรผสมใหม่ ก็คือ งานบวกเล่น บวกสนุก คือชีวิตมันไม่มีเส้นแบ่งประเภทว่าเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นอยู่ที่ทำงาน คืออยู่ในนรก กลับพักผ่อนอยู่บ้านคือวิมานของเรา รุ่งเช้าไปลงนรกใหม่ อย่างนี้ไม่มี สำหรับตัวเองการใช้ชีวิตทุกอย่างต้องกลมกลืนกัน หลายอย่างทำเพราะความสนุกด้วย? หลายอย่างที่ทำมายาวนานไม่ใช่เพราะความจำเป็นนะ แต่เพราะความสนุก ยกตัวอย่าง แปลหนัง ไม่ใช่ว่าจะได้เงินเยอะ แต่เพราะความสนุก คืองานกับเล่นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน มันถึงจะดีชีวิตถึงจะดี แต่ถ้าใครที่เลือกไม่ได้คำแนะนำก็คือ ต้องพยายามปรับให้เรื่องงานเป็นเรื่องสนุก ซึ่งสามารถทำได้ ด้วยการเติมมุข เติมแก๊กอะไรเข้าไปบ้าง ลองดูสิอย่างคนที่เป็นจราจร หรือคนกดลิฟต์ ต้องทำอยู่อย่างนั้นทั้งวัน แต่แล้วก็มีจราจรออกมาเต้นเบรกแดนซ์ ทั้งสร้างความบันเทิงให้ผู้ชมและความสนุกกับตัวเอง หลายอย่างอาจจะเริ่มด้วยงาน แต่แล้วเราก็หาความสนุกใส่ตัวโดยที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า อย่างงานพิพิธภัณฑ์ก็เหมือนกัน พูดจริงๆ เครียดนะระหว่างที่ทำก็พยายามคิดแก๊ก คิดมุกครีเอทสุดๆ ทำอย่างไรถึงดูมีชีวิตชีวา สนุกกับการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอก ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเอง คือเป็นเพราะไม่หยุดอยากรู้สักที อย่างเขียนบทหนังก็เป็นความอยากอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งปกติชีวิตทุกวันนี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะทำ เขาเรียกว่า Curious Mind อยากรู้นิสัยของเด็ก คำจำกัดความก็คือ อยากรู้ อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย คุณสมบัติอยากรู้นี่มีมาตลอดเลยยกตัวอย่างตอนที่รางวัลซีไรต์ใหม่ๆ เคยไปทำรายการทีวี ในใจไม่ได้อยากเป็นดาราหรอก แต่แค่อยากรู้ว่าทีวีเขาทำกันอย่างไร ถ้าลองเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาหยุดอยากรู้มานานแล้ว เขาคิดว่าเขารู้หมดแล้ว หรือว่าชีวิตเขาคงที่ ลงตัวแล้วและเขาพอใจ ในขณะที่เราถ้าอยู่นิ่งๆ นานๆ รู้สึกเหมือนมันค่อยๆ ตาย ต้องตะกายไปหาอะไรทำเรื่อยๆ อะไรคือหลักในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ไม่มีหลักการแต่โชคดีที่เป็นคนขี้ลืมการลืมเป็นเหมือนการปลดภาระอย่างหนึ่งสมมติโกรธคนนี้มากในวันนี้ พอผ่านสามวัน จะเผลอนึกว่าเป็นสามเดือนแล้วและความโกรธมันก็จะหายไป แต่ถ้าช่วงวันไหนที่ยุ่งมากๆ จนสติแตกแล้วเนี่ยนะ...หยุดรับโทรศัพท์ แล้วจะลงไปขุดดิน ทำสวน มีความสุขกับต้นไม้ รักเหมือนเป็นลูก โดยเฉพาะเฟิร์น เป็นคนที่บ้าเฟิร์นเอามากๆ ชนิดที่ว่าเคยถึงไปที่เฟิร์นพาราไดซ์ที่เชียงใหม่ ดูตามรูปแล้วก็ไป ทำสวน เป็นอะไรที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด บ้านจะมีสวนหย่อมอยู่ข้างหน้าและสวนกระถางอยู่ข้างหลัง ตอนนี้กำลังเตรียมจะทำดาดฟ้าบ้านให้เป็นสวนพริกนานาชาติ เป็นความใฝ่ฝัน เพราะไปเห็นตอนเรียนที่คอร์แนล ที่นั่นมีพันธุ์พริกจากทั่วโลกสารพัดเผ่าพันธุ์ยิ่งกว่าที่เราจินตนาการอีก ความสนใจทางพฤกษศาสตร์มีสูงมาก ทุกวันนี้อึดอัดไหมเวลาโดนผู้คนรุมทึ้งในความเป็น จิระนันท์ ความชื่นชมจากผู้คนเป็นสิ่งดีที่ไม่ได้มีโอกาสเช่นนี้กันบ่อยนักและยาวนานขนาดนี้ เคยลงหนังสือพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่สมัยเป็นดาวจุฬาฯ สามสิบกว่าปีแล้ว และช่วง 14 ตุลาฯ ตอนออกจากป่า มาถึงตอนได้ซีไรต์ ในวงวิชาการก็พอมีผลงานอยู่บ้างเล็กน้อยรวมถึงอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่เข้ามาแม้กระทั่งเป็นแม่แทนไทกับวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ถามว่าเบื่อไหม ในส่วนหนึ่งเราไม่ได้มีเพรสเชอร์แบบพวกดารา ไปกิ๊กกับใคร อะไรต่ออะไร ปัจจัยลบข้อนี้มันไม่มี เราก็เอนจอยทำอะไรของเราไป แต่โอเค ในความเป็นส่วนตัว บางทีก็ลำบากเราต้องการนาทีส่วนตัวมันก็ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหน แต่ว่าสัญชาตญาณอย่างหนึ่งคือทำให้มันสนุกไปทุกเรื่องอย่างเซ็นหนังสือเดอะซีเคร็ต ตอนงานมหกรรมหนังสือเมื่อปีกลาย วันเดียว 600 เล่น กลับมาแขนเดี้ยงสุดๆ แต่ระหว่างที่เซ็น ไม่ได้รู้สึกว่าลำบาก หรือคิดถึงเรื่องยอดขาย คิดว่าจะเซ็นให้มันสนุก เซ็นประโยคนี้ไปสามเล่มแล้วเดี๋ยวเปลี่ยนไหม เล่มนี้อ่านแก้ร้อนนะคะเล่มนี้อ่านดีๆ มีรางวัล ช่วงหลังๆ จะเห็นจิระนันท์ในบทบาทพรีเซ็นเตอร์โฆษณาในนิตยสารไปออกงานโน้นงานนี้มากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งไหม ไม่..คือเราไม่ค่อยสะทกสะเทือนกับการตีตราไง ถ้าเป็นซ้ายต้องซ้ายตลอดเป็นนักวิชาการต้องมาฟอร์มนี้ เป็นกวีก็ต้องแบบนี้เพื่อชีวิต มันเป็นได้หลายๆ อย่าง โดยที่เรารู้ว่าเราไม่ได้เสียตัวตนไม่ได้เสียจุดยืน และนี่เป็นจุดยืนของเราที่คุณไม่ได้เห็น หรือไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำแต่เราคือเรา ถูกด่าว่าเป็นไฮโซนี่...บ่อย แต่ก็มองเหมือนเวลาเรามองคนดูทีวี ที่เวลาเห็นใครโผล่ออกมาในจอ เออไอ้นี่มันไปแย่งผัวคนอื่น พระเอกคนนี้มันเป็นตุ๊ด อะไรแบบนี้ เราก็มองว่าความเข้าใจคงอยู่แค่ในระดับนั้น ไม่ได้ฉุนนะว่าจะมองเราว่ายังไง เพราะความมั่นคงในจิตใจมีสูงมา ไม่ใช่ความมั่นใจแบบเซลฟ์สุดๆ อะไร แต่เป็นความมั่นคงในจิตใจที่มีสูงมาก ต้องใช้คำนี้--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Saturday, December 13, 2008 11:4747860 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง/ศรัณย์ บุญประเสริฐ
ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องแนะนำกันมาก สำหรับผู้หญิงที่ชื่อ จิระนันท์ พิตรปรีชา เพราะกว่าครึ่งชีวิตของเธอเป็นบุคคลสาธารณะที่สังคมรู้จักมักคุ้น แต่จิระนันท์ คนที่ใครๆ ต่างรู้จักมีมากกว่าความเป็นกวีซีไรต์ นักเขียน นักแปลชื่อดัง หรือแม้แต่แค่ ไอคอนของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งสมัยเป็นนักศึกษา เธอเคยฝันอยากจะเป็นช่างภาพลุยๆ แบบนักข่าวสงคราม สมัยสงครามเวียดนาม ใครจะรู้ว่า หลายๆ ความฝันแม้จะไม่เป็นจริง แต่เป็นแรงขับดันให้เธอแพ็คกระเป๋าออกเดินทางแสวงหา ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตะลุยเดี่ยวไปทั้งโปรตุเกส โคลัมเปีย เอธิโอเปีย นิการากัว เปรู และอีกหลายต่อหลายประเทศ บนเส้นทางของนักเดินทางตัวยงครั้งหนึ่ง (นานมาแล้ว) จิระนันท์เป็นนักเขียนคนแรกๆ ที่เดินทางเข้าไปในลาวและเขียนเรื่องหลวงพระบางลงในอสท. เป็นคณะทัวร์บุกเบิกรุ่นแรกๆ ที่ไปลี่เจียง และจิ่วจ้ายโกว จนกระทั่งชื่อเรียก "อุทยานธารสวรรค์จิ่วจ้ายโกว" ที่เธอเป็นคนตั้ง กลายเป็นคำสุดฮิตในโฆษณาแทบทุกทัวร์ที่ไปที่นั่น ทุกวันนี้ จิระนันท์ ยังคงแพ็คกระเป๋าเดินทางอยู่เรื่อยๆ ทริปล่าสุด เธอเพิ่งกลับมาจากเกาะซาราวัค ที่รัฐบาลมาเลเซีย เชิญไปร่วมเป็นตัวแทนแต่งบทกวีนานาชาติ นอกจากก๊วนทัวร์ ชมรมท่องอุษาคเนย์ที่เคยกอดคอกันจัดร่วมกับ ธีรภาพ โลหิตกุล และกฤช ชลธาร์นนท์ เธอยังมีก๊วนเพื่อนนักวิชาการ ก๊วนนักเขียน ก๊วนกินอาหารอินเดีย ก๊วนชิมไวน์ ฯลฯ รวมถึงก๊วนช่างภาพ ที่รักการถ่ายรูป ใครจะรู้ว่าสมัยหนึ่งเธอคือเจ้าแม่ (เอเย่นต์) ปฏิทินตัวจริง ที่อยู่เบื้องหลังการประสานช่างภาพในชุดปฏิทินภาพถ่ายแนวสารคดีให้กับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ ล่าสุด เธอรวมกลุ่มกับเพื่อนพ้องในวงการช่างภาพ ก่อตั้งกลุ่ม สห+ภาพ จัดนิทรรศการภายถ่ายสัญจร "ตลาด...ยังไม่วาย" ครั้งแรก ที่ตลาดสามชุก ชีวิตของจิระนันท์ มีหลายด้านและทุกวันนี้เธอยังเป็นนักกิจกรรมตัวยง แม้ชีวิตของเธอจะไม่ได้มีแต่ด้านสว่าง แต่เธอผ่านชีวิตและดำเนินชีวิต เป็นใบไม้ ที่ยังคงสดใสร่าเริง ในวัยย่าง 54 ปี ด้วยวิธีบริหารชีวิตให้มีความสุข ในเส้นทางที่เธอเลือก... ที่บอกว่าการเดินทางและการถ่ายภาพเป็นเหมือนการวิ่งไล่ความฝันอย่างหนึ่งช่วยเล่าหน่อยค่ะ ความชอบถ่ายภาพนี่เริ่มมานานแล้ว ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งที่จุฬาก็อยู่ชมรมถ่ายภาพ ตอนนั้นคุณเดโช บูรณบรรพต เป็นประธานชมรม เราเป็นลูกน้องคอยสะพายกล้องเดินตามเขา ยังจำได้ว่าวันที่ได้รับเลือกเป็นดาวจุฬาฯ บนเวทีต้องแสดงความสามารถพิเศษ โอเคเลยพูดบทกวีสดๆ โดนถามต่อว่าแล้วทำอะไรได้อีก? ถ่ายรูปค่ะ ตอบอย่างองอาจมากเลยนะ ช่างภาพหน้าเวที เลยยื่นกล้องให้ เราเลยยกขึ้นมาถ่ายคนดูซะเลย (หัวเราะ) นั่นแหละความสามารถพิเศษ เรื่องถ่ายรูป ก็เลยเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในกระแสเลือด สมัยตอนเรียนจุฬาฯ ยุค 14 ตุลาฯ ยุคนั้นกรุงเทพฯ กลายเป็นแหล่งชุมนุมของนักข่าวช่างภาพระดับโลกที่เข้ามาทำข่าวสงครามเวียดนาม ตอนนั้นเลยมีความฝันอย่างหนึ่ง อยากเป็นนักข่าวช่างภาพลุยๆ แบบนักข่าวสงคราม ถึงจะไม่ได้เป็น แต่ความฝันพวกนี้มันเป็นแรงผลักดันจริงๆ เชื่อไหมว่าเคยไปถึงเปรู เอธิโอเปีย นิการากัวก็ยังเคยไป ไปคนเดียว เพราะความอยากพวกนี้วิ่งไล่ความฝัน โดยไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงหรืออะไรเลย แต่รู้ตัวว่า เรากำลังไล่ตามอะไรอยู่ บางเรื่องไม่มีเวลาเขียนด้วยซ้ำมัวไปแปลหนังสืออยู่ ต้องแพ็คกระเป๋าเดินทางทุกปี? ทุกปี จนกระทั่งตอนหลัง มาพบอีกช่องทางหนึ่ง คือ Poetry Festival เป็นงานเทศกาลกวีนิพนธ์นานาชาติ ไปเสิร์ชหาเจอทางอินเทอร์เน็ต ครั้งแรกเลยคือไปที่โปรตุเกส ปี 2000 ที่เมืองชื่อ Coimbra เห็นเมืองแล้วสวยมาก อยากไป เลยเขียนจดหมายไปถาม สมัครไปเองเลย ส่งประวัติผลงานไป ไปถึงทางนั้นเขารับรองให้หมด หาแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงเวลาก็ตระเวนขึ้นไปอ่านบทกวีตามจุดต่างๆ ที่จัดงาน ต่อจากนั้น ก็มีติดต่อไปร่วมเทศกาลกวีแบบนี้เรื่อย มีไปที่โคลัมเบีย เป็นงานเทศกาลกวีที่ใหญ่ที่สุดของโลกชื่อ International Poetry of Medellin แต่ดันไปจัดอยู่ในโคลัมเบีย เพราะคลั่งบทกวีกันทั้งเมือง ประเทศเขาคนอ่านออกเขียนได้ประมาณ 60% แต่ความเป็นกวีอยู่ที่ใจ อยู่ในสายเลือด อยู่ในวัฒนธรรม เวลาเดินทางไปประเทศแปลกๆ หรือไกลๆ เลยมักจะใช้ช่องทางนี้? ตอนหลังๆ ถ้าจะไปดินแดนลึกลับต้องไปด้วยวิธีนี้ นิการากัว เปรู ก็ไปมาแล้ว ถ้าไปงานอย่างนี้ เขามารับตั้งแต่หน้าสนามบินเลย มีคนมาดูแล แล้วรอบต่อไปถ้าจะไปเราก็รู้แล้ว การเดินทางไปพวกประเทศกลุ่มละตินอเมริกาจะยากตรงที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีไฟลต์บินตรงจากเอเชีย ส่วนใหญ่จะใช้ KLM แล้วไปต่อที่อัมสเตอร์ดัม รวมเวลาทั้งสิ้นสามสิบกว่าชั่วโมง เดินทางกับถ่ายภาพด้วยควบคู่กันไป? ก็มักจะอย่างนั้น แต่ระยะหลังๆ มักจะคู่กับช่างภาพ (หัวเราะ) จะมีช่างภาพตามไปถ่ายภาพด้วย พอใจฝักใฝ่อยู่กับเรื่องนี้ เวลาเจอช่างภาพก็จะรีบปรี่เข้าไปหา เข้าไปคุย เราเป็นคนดูรูปเป็นก็เลยยิ่งสนุกสุดขีด กับช่างภาพจะมีก๊วนหนึ่งที่นัดกินข้าวคุยกัน นัดมาฉายสไลด์ขึ้นจอโชว์รูปกัน เหมือนชมรมพระเครื่องแล้วด้วยความสมองใส เลยสร้างวีรกรรมเข้าไปประมูลงานปฏิทินจากบริษัทใหญ่ๆ ตั้งคอนเซปต์เลย เช่น เสนอทำเรื่องอุทยานแห่งชาติ แบ่งไปเลยใครมีรูปอะไรที่ไหน เอามาดูกัน แต่ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ก็เป็นจุดเปลี่ยน ปฏิทินก็เลิกทำจริงๆ เราทำเอาสนุก ไม่ได้คิดแบบแม่ค้า แต่สิ่งที่ได้มาอย่างมหาศาล คือได้เพื่อนคอเดียวกัน อย่าง น้าชำ ชำนิ ทิพย์มณี ปกติจะไปไหนถ่ายภาพคนเดียว แต่เราก็ดึงๆ ให้มาเข้ากลุ่มด้วยกัน แล้วทำไมถึงเลือกมาทำอาชีพเป็นกวี นักเขียน นักแปล แทนที่จะเป็นช่างภาพ ทำไป ทำมา รู้สึกว่าคนอื่นเขาถ่ายได้ดีอยู่แล้ว มันเหมือนกับทำอะไรมาจนอิ่มแล้วเลือกมาดูแลคนดีกว่า เรื่องอะไรจะไปแข่งกับพวกเขา ว่ากันว่า อาชีพกวี นักเขียน มักจะไส้แห้งมีวิธีบริหารชีวิตยังไงให้สมดุลค่ะ ก็ทำหลายอย่าง เพราะถ้าเป็นกวีอย่างเดียว คงไม่รอดเหมือนกันในแง่เศรษฐกิจ โอเคที่บ้านพอมีฐานะ แต่การพึ่งตนเองเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของชีวิตด้วย เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ดังนั้น เราก็ต้องคิดเรื่องนี้พอสมควร อย่างเรื่องปฏิทินก็เป็นทางออกทางหนึ่งของกวี เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของบทกวี ไปหารูปมาสิ ใส่กวีเข้าไปสี่บรรทัด แพ็คเกจจิ้งใหม่ ได้ราคาเลยใช่ไหม ถ้าไปขายแต่บทกวีเปล่าๆ เขาอาจจะไม่เอา วิธีคิดแบบนี้ เริ่มต้นมาจากไหน ไม่ได้เรียนมา แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ ทัศนคตินี้มาจากไหน มาจากการที่ออกจากป่ามา เราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่หมด เริ่มอันดับแรก ต้องเรียนหนังสือให้ดีเพื่อที่จะเอาทุนให้ได้ ซึ่งได้มาจริงๆ ตอนเรียนต่อปริญญาโท สมัครเรียนด้วยเกรดเกียรตินิยม ตอนที่ไปเรียนที่คอร์แนล มันไปเจอสิ่งที่เราถูกใจมากๆ แค่เซคชั่นเดียวในห้องสมุด มันค้นพบไปเรื่อยๆ แล้วความที่เราต้องคิดแล้วไง ออกมาจากป่ามันก็กลายเป็นนิสัยเราทำเพื่อความอยู่รอด ทำเพื่อศักดิ์ศรี อุดมการณ์ ทำเพื่อใจรัก หลายๆ อย่างมันต้องอยู่รวมกันให้ได้ ในที่สุดมันก็ยำรวมออกมาเป็นสูตรผสมใหม่ ก็คือ งานบวกเล่น บวกสนุก คือชีวิตมันไม่มีเส้นแบ่งประเภทว่าเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นอยู่ที่ทำงาน คืออยู่ในนรก กลับพักผ่อนอยู่บ้านคือวิมานของเรา รุ่งเช้าไปลงนรกใหม่ อย่างนี้ไม่มี สำหรับตัวเองการใช้ชีวิตทุกอย่างต้องกลมกลืนกัน หลายอย่างทำเพราะความสนุกด้วย? หลายอย่างที่ทำมายาวนานไม่ใช่เพราะความจำเป็นนะ แต่เพราะความสนุก ยกตัวอย่าง แปลหนัง ไม่ใช่ว่าจะได้เงินเยอะ แต่เพราะความสนุก คืองานกับเล่นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน มันถึงจะดีชีวิตถึงจะดี แต่ถ้าใครที่เลือกไม่ได้คำแนะนำก็คือ ต้องพยายามปรับให้เรื่องงานเป็นเรื่องสนุก ซึ่งสามารถทำได้ ด้วยการเติมมุข เติมแก๊กอะไรเข้าไปบ้าง ลองดูสิอย่างคนที่เป็นจราจร หรือคนกดลิฟต์ ต้องทำอยู่อย่างนั้นทั้งวัน แต่แล้วก็มีจราจรออกมาเต้นเบรกแดนซ์ ทั้งสร้างความบันเทิงให้ผู้ชมและความสนุกกับตัวเอง หลายอย่างอาจจะเริ่มด้วยงาน แต่แล้วเราก็หาความสนุกใส่ตัวโดยที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า อย่างงานพิพิธภัณฑ์ก็เหมือนกัน พูดจริงๆ เครียดนะระหว่างที่ทำก็พยายามคิดแก๊ก คิดมุกครีเอทสุดๆ ทำอย่างไรถึงดูมีชีวิตชีวา สนุกกับการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอก ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเอง คือเป็นเพราะไม่หยุดอยากรู้สักที อย่างเขียนบทหนังก็เป็นความอยากอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งปกติชีวิตทุกวันนี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะทำ เขาเรียกว่า Curious Mind อยากรู้นิสัยของเด็ก คำจำกัดความก็คือ อยากรู้ อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย คุณสมบัติอยากรู้นี่มีมาตลอดเลยยกตัวอย่างตอนที่รางวัลซีไรต์ใหม่ๆ เคยไปทำรายการทีวี ในใจไม่ได้อยากเป็นดาราหรอก แต่แค่อยากรู้ว่าทีวีเขาทำกันอย่างไร ถ้าลองเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาหยุดอยากรู้มานานแล้ว เขาคิดว่าเขารู้หมดแล้ว หรือว่าชีวิตเขาคงที่ ลงตัวแล้วและเขาพอใจ ในขณะที่เราถ้าอยู่นิ่งๆ นานๆ รู้สึกเหมือนมันค่อยๆ ตาย ต้องตะกายไปหาอะไรทำเรื่อยๆ อะไรคือหลักในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ไม่มีหลักการแต่โชคดีที่เป็นคนขี้ลืมการลืมเป็นเหมือนการปลดภาระอย่างหนึ่งสมมติโกรธคนนี้มากในวันนี้ พอผ่านสามวัน จะเผลอนึกว่าเป็นสามเดือนแล้วและความโกรธมันก็จะหายไป แต่ถ้าช่วงวันไหนที่ยุ่งมากๆ จนสติแตกแล้วเนี่ยนะ...หยุดรับโทรศัพท์ แล้วจะลงไปขุดดิน ทำสวน มีความสุขกับต้นไม้ รักเหมือนเป็นลูก โดยเฉพาะเฟิร์น เป็นคนที่บ้าเฟิร์นเอามากๆ ชนิดที่ว่าเคยถึงไปที่เฟิร์นพาราไดซ์ที่เชียงใหม่ ดูตามรูปแล้วก็ไป ทำสวน เป็นอะไรที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด บ้านจะมีสวนหย่อมอยู่ข้างหน้าและสวนกระถางอยู่ข้างหลัง ตอนนี้กำลังเตรียมจะทำดาดฟ้าบ้านให้เป็นสวนพริกนานาชาติ เป็นความใฝ่ฝัน เพราะไปเห็นตอนเรียนที่คอร์แนล ที่นั่นมีพันธุ์พริกจากทั่วโลกสารพัดเผ่าพันธุ์ยิ่งกว่าที่เราจินตนาการอีก ความสนใจทางพฤกษศาสตร์มีสูงมาก ทุกวันนี้อึดอัดไหมเวลาโดนผู้คนรุมทึ้งในความเป็น จิระนันท์ ความชื่นชมจากผู้คนเป็นสิ่งดีที่ไม่ได้มีโอกาสเช่นนี้กันบ่อยนักและยาวนานขนาดนี้ เคยลงหนังสือพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่สมัยเป็นดาวจุฬาฯ สามสิบกว่าปีแล้ว และช่วง 14 ตุลาฯ ตอนออกจากป่า มาถึงตอนได้ซีไรต์ ในวงวิชาการก็พอมีผลงานอยู่บ้างเล็กน้อยรวมถึงอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่เข้ามาแม้กระทั่งเป็นแม่แทนไทกับวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ถามว่าเบื่อไหม ในส่วนหนึ่งเราไม่ได้มีเพรสเชอร์แบบพวกดารา ไปกิ๊กกับใคร อะไรต่ออะไร ปัจจัยลบข้อนี้มันไม่มี เราก็เอนจอยทำอะไรของเราไป แต่โอเค ในความเป็นส่วนตัว บางทีก็ลำบากเราต้องการนาทีส่วนตัวมันก็ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหน แต่ว่าสัญชาตญาณอย่างหนึ่งคือทำให้มันสนุกไปทุกเรื่องอย่างเซ็นหนังสือเดอะซีเคร็ต ตอนงานมหกรรมหนังสือเมื่อปีกลาย วันเดียว 600 เล่น กลับมาแขนเดี้ยงสุดๆ แต่ระหว่างที่เซ็น ไม่ได้รู้สึกว่าลำบาก หรือคิดถึงเรื่องยอดขาย คิดว่าจะเซ็นให้มันสนุก เซ็นประโยคนี้ไปสามเล่มแล้วเดี๋ยวเปลี่ยนไหม เล่มนี้อ่านแก้ร้อนนะคะเล่มนี้อ่านดีๆ มีรางวัล ช่วงหลังๆ จะเห็นจิระนันท์ในบทบาทพรีเซ็นเตอร์โฆษณาในนิตยสารไปออกงานโน้นงานนี้มากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งไหม ไม่..คือเราไม่ค่อยสะทกสะเทือนกับการตีตราไง ถ้าเป็นซ้ายต้องซ้ายตลอดเป็นนักวิชาการต้องมาฟอร์มนี้ เป็นกวีก็ต้องแบบนี้เพื่อชีวิต มันเป็นได้หลายๆ อย่าง โดยที่เรารู้ว่าเราไม่ได้เสียตัวตนไม่ได้เสียจุดยืน และนี่เป็นจุดยืนของเราที่คุณไม่ได้เห็น หรือไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำแต่เราคือเรา ถูกด่าว่าเป็นไฮโซนี่...บ่อย แต่ก็มองเหมือนเวลาเรามองคนดูทีวี ที่เวลาเห็นใครโผล่ออกมาในจอ เออไอ้นี่มันไปแย่งผัวคนอื่น พระเอกคนนี้มันเป็นตุ๊ด อะไรแบบนี้ เราก็มองว่าความเข้าใจคงอยู่แค่ในระดับนั้น ไม่ได้ฉุนนะว่าจะมองเราว่ายังไง เพราะความมั่นคงในจิตใจมีสูงมา ไม่ใช่ความมั่นใจแบบเซลฟ์สุดๆ อะไร แต่เป็นความมั่นคงในจิตใจที่มีสูงมาก ต้องใช้คำนี้--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ยึดสุวรรณภูมิพ่นพิษธุรกิจเรือเร็วภูเก็ต นักท่องเที่ยวลด-ขอเลื่อนเก็บค่าธรรมเนียม
ยึดสุวรรณภูมิพ่นพิษธุรกิจเรือเร็วภูเก็ต นักท่องเที่ยวลด-ขอเลื่อนเก็บค่าธรรมเนียมSource - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, December 02, 2008 02:0352391 XTHAI XGEN LCL V%NETNEWS P%WKT
ภูเก็ต - ชมรมผู้ประกอบการเรือเร็ว ยื่นหนังสือผ่านจังหวัดภูเก็ตถึงกรมอุทยานแห่งชาติฯ อ้อนเลื่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชม จากเดิมหัวละ 200 บาท หวังช่วยกระตุ้นบรรยากาศในพื้นที่ หลังเหตุยึดสนามบินทำเอานักท่องเที่ยวลด
10.00 น.วันที่ 1 ธ.ค. ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายกฤษฎา พิเชฐพงษานนท์ ประธานชมรมผู้ประกอบการเรือเร็ว จังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยสมาชิกชมรมฯ ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผ่านทางนายวรพจน์ รัฐสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนายดุลยภากย์ กรณฑ์แสง นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ สาขาภาคใต้เขต 2 เพื่อขอความอนุเคราะห์ประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เพื่อขอผ่อนผันค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯ เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551 จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552เพราะภายหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ
ลดลง 30-40%
นายกฤษฎา กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่สงบอันมีปัจจัยมาจากการเมือง ที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน รวมถึงการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ได้ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมากเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีการยกเลิกการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยภูเก็ต ทั้งนี้นักท่องเที่ยวได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทางชมรมผู้ประกอบการเรือเร็วจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวทางทะเล มีความเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยลดอัตราค่าบริการลงประมาณ 20% แต่หากมีการผ่อนผันค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯ ซึ่งปัจจุบันต้องจ่ายหัวละ 200 บาทต่อครั้ง ก็จะทำให้สามารถลดค่าบริการได้อีกประมาณ 20% หลังได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วก็จะได้จัดทำราคาเสนอให้กับเอเยนซี เพื่อเสนอขายนักท่องเที่ยวต่อไป เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยและจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งป้องกันปัญหาทางสังคมที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากการลดจำนวนพนักงานในอนาคต
นายกฤษฎา กล่าวว่า ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ปิดสนามบินทั้ง 2 แห่ง มีนักท่องเที่ยวที่ติดต่อขอใช้บริการเรือเร็วนำเที่ยวอยู่ประมาณ 70-80% แต่ขณะนี้ได้มีการแจ้งยกเลิกลดลงเหลือประมาณ 30-40% จะเป็นนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนที่เป็นกลุ่มใหม่ๆ นั้นแทบจะไม่มีเข้ามาเลย
สำหรับผู้ประกอบการเรือเร็วนำเที่ยวมีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของชมรมฯ จำนวน 30 ราย มีเรือที่ให้บริการอยู่ประมาณ 400 ลำ ส่วนใหญ่ให้บริการในพื้นที่ จ.ภูเก็ต พังงา และกระบี่บางส่วน--จบ--
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
Tuesday, December 02, 2008 02:0352391 XTHAI XGEN LCL V%NETNEWS P%WKT
ภูเก็ต - ชมรมผู้ประกอบการเรือเร็ว ยื่นหนังสือผ่านจังหวัดภูเก็ตถึงกรมอุทยานแห่งชาติฯ อ้อนเลื่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชม จากเดิมหัวละ 200 บาท หวังช่วยกระตุ้นบรรยากาศในพื้นที่ หลังเหตุยึดสนามบินทำเอานักท่องเที่ยวลด
10.00 น.วันที่ 1 ธ.ค. ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายกฤษฎา พิเชฐพงษานนท์ ประธานชมรมผู้ประกอบการเรือเร็ว จังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยสมาชิกชมรมฯ ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผ่านทางนายวรพจน์ รัฐสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนายดุลยภากย์ กรณฑ์แสง นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ สาขาภาคใต้เขต 2 เพื่อขอความอนุเคราะห์ประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เพื่อขอผ่อนผันค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯ เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551 จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552เพราะภายหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ
ลดลง 30-40%
นายกฤษฎา กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่สงบอันมีปัจจัยมาจากการเมือง ที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน รวมถึงการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ได้ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมากเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีการยกเลิกการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยภูเก็ต ทั้งนี้นักท่องเที่ยวได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทางชมรมผู้ประกอบการเรือเร็วจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวทางทะเล มีความเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยลดอัตราค่าบริการลงประมาณ 20% แต่หากมีการผ่อนผันค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯ ซึ่งปัจจุบันต้องจ่ายหัวละ 200 บาทต่อครั้ง ก็จะทำให้สามารถลดค่าบริการได้อีกประมาณ 20% หลังได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วก็จะได้จัดทำราคาเสนอให้กับเอเยนซี เพื่อเสนอขายนักท่องเที่ยวต่อไป เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยและจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งป้องกันปัญหาทางสังคมที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากการลดจำนวนพนักงานในอนาคต
นายกฤษฎา กล่าวว่า ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ปิดสนามบินทั้ง 2 แห่ง มีนักท่องเที่ยวที่ติดต่อขอใช้บริการเรือเร็วนำเที่ยวอยู่ประมาณ 70-80% แต่ขณะนี้ได้มีการแจ้งยกเลิกลดลงเหลือประมาณ 30-40% จะเป็นนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนที่เป็นกลุ่มใหม่ๆ นั้นแทบจะไม่มีเข้ามาเลย
สำหรับผู้ประกอบการเรือเร็วนำเที่ยวมีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของชมรมฯ จำนวน 30 ราย มีเรือที่ให้บริการอยู่ประมาณ 400 ลำ ส่วนใหญ่ให้บริการในพื้นที่ จ.ภูเก็ต พังงา และกระบี่บางส่วน--จบ--
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
รวมผล 11 ตระกูลเศรษฐีเมืองภูเก็ต
รวมผล 11 ตระกูลเศรษฐีเมืองภูเก็ต Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, November 10, 2008 08:1165496 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปรีณ กรณฑ์แสง
ว่ากันว่า ภูเก็ต เป็นดินแดนแห่งโอกาสที่นี่ จึงมีทั้งตระกูลคหบดีเก่าแก่แห่งปักษ์ใต้ ที่สะสมความมั่นคั่งจากเหมืองแร่และสวนยางพารา ตั้งแต่เก่าก่อน มีทั้งนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่ ที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจโรงแรม และการท่องเที่ยว จนเติบใหญ่ เย็นค่ำวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บรรดานักสู้ หลายคน ในนั้น มารวมตัวกันคับคั่ง ที่โรงแรม มิลเลเนียม รีสอร์ท ป่าตอง ในงานเปิดตัวนิตยสาร KConnect ฉบับพิเศษ ภูเก็ต...ขุมพลังไข่มุกอันดามัน จากรุ่นถึงรุ่น หนังสือที่ แบงก์รวงข้าว ธนาคารกสิกรไทยตั้งใจรวบรวมเรื่องราวความสำเร็จของ 11 ตระกูลธุรกิจในภูเก็ต มาเล่าขานไว้อย่างน่าสนใจ งานนี้มีทั้งนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่เป็นตำนานระดับเจ้าพอในวงการอาทิ "พยุงศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต" ประธานกรรมการบริหารบริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด เจ้าพ่อโรงงานยางที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และเอเชียอาคเนย์ จากสายตาที่ยาวไกลของ รุ่นพ่อ "ทวีศักดิ์เกิดวงศ์บัณฑิต ที่ค่ำหวอดอยู่ในวงการมานานเลยมองเห็นช่องทางปักหลักใช้ท่าเรือภูเก็ตทำการค้า ส่งยางขึ้นเรือขนไปขายที่ยุโรป สืบทอดส่งต่อกิจการมาถึงรุ่นลูก ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยหลายคนเลิกทำยาง หันไปทำธุรกิจท่องเที่ยว แต่วงศ์บัณฑิต ยังคงยืนหยัด และสร้างความยิ่งใหญ่ในวงกางรยางพารา ทั้งในและต่างประเทศ นักธุรกิจใหญ่ เชื้อสายจีน อีกคน ที่สร้างตัวจากเถ้าแก่ค้าวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในเกาะภูเก็ตจนตอนนี้ ก้าวมาเป็นเจ้าของโรงแรมกะตะ ปาล์มรีสอร์ท แอนด์ สปา "วิศิษฐ์ แซ่เต้ง" กว่าเจาจะยิ้มชื่นมีความสุขพร้อมหน้าครอบครัวลูกๆ และหลานๆ อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องกัดฟัน จำนองเรือนหอเพียงหลังเดียวเจ้าจำนองกับแบงก์ ด้วยเงินตั้งตัวก้อนแรก 2 แสน 5 หมื่นบาท ในปี 2551 อีกตระกูลใหญ่ในภูเก็ต ที่ยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาว บนเส้นทางแกร่ง มีเรื่องราวของ ตระกูลจิรายุส เจ้าของ 4 โรแงแรมในเครือเมอร์ลินกรุ๊ปโรงแรมระดับเฟิร์สคลาส แห่งแรกๆ ในภูเก็ต นันทนา (จิรายุส) วงศ์สัตยานนท์ และกาญจนา จิรายุส สองนายหญิงแห่งกลุ่มเมอร์ลินเล่าว่า สมัยนั้น คุณพ่อ (วีระ จิรายุส) มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล มองว่าหลังจากธุรกิจเหมืองแร่แล้ว ยุคต่อไปของภูเก็ต จะรุ่งเรืองด้วยการท่องเที่ยว "คุณพ่อมีลูกๆ ทั้งหมด 5 คน สมัยนั้นมีทั้งเหมืองดีบุก และฮาร์ดแวร์สโตน ค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องใช้ในโรงแรม แต่คุรพ่อก็มองว่าถ้าไม่หาธุรกิจอื่นมารองรับ ลูกๆ เรียนจบมาอาจจะแยกย้ายกันไปทำงานที่อื่น เลยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโรงแรมเมอร์ลินเราเริ่มจากที่ภูเก็ตยังแทบไม่มีอะไรตั้งแต่ปี 2523 จากวันนั้น ถึงวันนี้ 28 ปีแล้ว" ผ่านมรสุมลูกใหญ่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาทั้งม็อบแทนทาลัม เหตุจราจลใหญ่ในภูเก็ตเมื่อปี 2529 จนโรงแรมภูเก็ต เมอร์ลินเสียหายยับเยิน จนถึงปลายปี 2547 โดยคลื่นยักษ์สึนามิ เสียหายไป 3 เดือน แล้วก็กลับมาพื้นได้อีกครั้ง จนวันนี้ เล่าถึงเหตุการณ์ในวันวานอย่างยิ้มได้ "ถึงแม้ในช่วงที่ปิดตัว แต่เรายังจ้างพนักงานครบทุกคน แม้ไม่มีงาน ไม่มีแขก เพราะยึดถือเป็นนโยบายมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เพราะพนักงานคือคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเรา" ส่วน 2 ตระกูลคหบดีเก่าแก่แห่งเมืองภูเก็ต หงษ์หยก และ ณ ระนอง พร้อมใจกันส่งทายาทหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ของตระกูลมาเป็นตัวแทน ร่วมในงาน เริ่มที่ ชัยภัทร ณ ระนอง ลูกชายคนเดียวของ วิจิตร ณ ระนอง เจเนเรชั่นที่ 3 ของตระกูล ที่ก้าวเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า ของครอบครัว ส่วนพี่สาว ประกายแก้ว (ณ ระนอง) ธีระธาดา รับหน้าที่บริหารโรงแรมอินดิโก้เพิร์ล ภูเก็ต นอกจากธุรกิจโรงแรม รถยนต์แล้ว ตระกูล ณ ระนอง ในภูเก็ต ยังมีธุรกิจครัวการบิน ธุรกิจบันเทิง ท่องเที่ยว ฯลฯ ชัยภัทร เล่าว่า ต้นตระกูลของเขา คือรุ่นคุณทวดขุนเลิศ โภคารักษ์ หรือ หลิ่ม ตันบุญ เดินทางมาจากเมืองตีนโพ้นทะเล เข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างในภูเก็ต จนสร้างเนื้อสร้างตัว มีกิจการเหมืองแร่ "ปรัชญาจากรุ่นสู่รุ่น ที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด มาถึงรุ่นคุณย่า จนถึงรุ่นผม ท่านจะเน้นอยู่ 3 เรื่อง คือ ต้องขยัน ซื่อสัตย์ และมอบโอกาสคืนกลับกับสังคม เพราะคุณทวดเอง ก็เริ่มต้นจากเป็นลูกจ้างมาก่อน เมื่อมีโอกาส ก็จะพยายามให้เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินตั้งแต่รุ่นคุณย่ามาก็จะมีการบริจาคที่ดินให้กับโรงแรม และวิทยาลัยในภูเก็ตและหน่วยงานต่างๆ ทายาทรุ่น 3 ตรุกูล ณ ระนองเล่า ส่วนหนุ่มคนนี้ มนต์ทวี หงษ์หยก มาเป็นตัวแทนคุณอา ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก ตอนนี้ เจ้าตัวก้าวเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในรุ่นที่ 4 ของตระกูลหงษ์หยก รับหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า ในรุ่นเดียวกัน ยังมี ธนาภูมิ หงษ์หยก ลูกชายของภูมิศักดิ์ ทำหน้าที่คุมการเงินของตระกูล มนตร์ทวี บอกว่า วันนี้ กลุ่มหงษ์หยก สืบทอดมาถึงรุ่นที่ 4-5 แล้ว เป็นธุรกิจครอบครัว ที่เป็น Family Tree ที่ใหญ่มาก มีสมาชิก ลูกหลานในครอบครัวภายในร่มเงาแห่งนี้ รวมกันน่าจะเกินร้อย แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบกิจการในเครือที่แบ่งเป็น 15 บริษัทย่อย มีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ สนามกอล์ฟ ปั้มน้ำมัน โรงพยาบาล ร้านกาแฟ และอีกสารพัด ที่นับนิ้วไม่หมด หัวใจที่ทำให้คนในตระกูลหงษ์หยก ยังคงปรองดองและอยู่ร่วมกันในระบบกงสี มาถึงทุกวันนี้มนต์ทวี บอกว่า เพราะเราประนีประนอม ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกครั้งที่มีประชุมใหญ่รวมกันในตระกูล ก็จะร่วมปรึกษาหารือกันตลอด รุ่นเด็กก็จะให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่ จะทำอะไรก็มีการบอกล่าวก่อน เพราะเราเป็นเรือลำใหญ่ การเคลื่อนตัวอาจจะไม่เร็ว ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ก้าวไปอย่างมั่นคง สำหรับ 11 ตระกูลนักธุรกิจภูเก็ต ที่ถูกถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จในหนังสือ ภูเก็ต...ขุมพลังไข่มุกอันดามัน จากรุ่นถึงรุ่น ครั้งนี้ ประกอบ ตระกูลคู่พงศกร ตระกูลแซ่เต้ง ตระกูล ณ ระนอง ตระกุลนฤขัตพิชัย ตระกูลภัทรวรณี ตระกุลจิรายุส ตระกูลสุวรรณดิษฐกุล ตระกูลหงษ์หยก ตระกูลอติเศรษฐ์และตระกูลอัจฉริยฉาย ...เป็นส่วนหนึ่ง ของ ขุมพลังไข่มุกอันดามันที่สืบทอดความรุ่งเรืองของเมืองภูเก็ต จากรุ่นสู่รุ่น
บรรยายใต้ภาพ รวมพลตัวแทนจากตระกูลนักธุรกิจเมืองภูเก็ต เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่ธุรกิจยาง พยุงศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต ขึ้นมารับมอบหนังสือ ชัยภัทร ณ ระนอง วันนี้มาเป็นตัวแทนคุณพ่อวิจิตร ณ ระนอง มนต์ทวี หงษ์หยก ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลคหบดีภูเก็ต วิศิษฎ์ แซ่เต้ง เคยต้องกัดฟันจำนองเรือนหอ กว่าจะมีวันนี้ สองดอกไม้เหล็กแห่งเครือโรงแรมเมอร์ลิน "นันทนา วงศ์สัตยานนท์" และ "กาญจนา จิรายุส"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Monday, November 10, 2008 08:1165496 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปรีณ กรณฑ์แสง
ว่ากันว่า ภูเก็ต เป็นดินแดนแห่งโอกาสที่นี่ จึงมีทั้งตระกูลคหบดีเก่าแก่แห่งปักษ์ใต้ ที่สะสมความมั่นคั่งจากเหมืองแร่และสวนยางพารา ตั้งแต่เก่าก่อน มีทั้งนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่ ที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจโรงแรม และการท่องเที่ยว จนเติบใหญ่ เย็นค่ำวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บรรดานักสู้ หลายคน ในนั้น มารวมตัวกันคับคั่ง ที่โรงแรม มิลเลเนียม รีสอร์ท ป่าตอง ในงานเปิดตัวนิตยสาร KConnect ฉบับพิเศษ ภูเก็ต...ขุมพลังไข่มุกอันดามัน จากรุ่นถึงรุ่น หนังสือที่ แบงก์รวงข้าว ธนาคารกสิกรไทยตั้งใจรวบรวมเรื่องราวความสำเร็จของ 11 ตระกูลธุรกิจในภูเก็ต มาเล่าขานไว้อย่างน่าสนใจ งานนี้มีทั้งนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่เป็นตำนานระดับเจ้าพอในวงการอาทิ "พยุงศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต" ประธานกรรมการบริหารบริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด เจ้าพ่อโรงงานยางที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และเอเชียอาคเนย์ จากสายตาที่ยาวไกลของ รุ่นพ่อ "ทวีศักดิ์เกิดวงศ์บัณฑิต ที่ค่ำหวอดอยู่ในวงการมานานเลยมองเห็นช่องทางปักหลักใช้ท่าเรือภูเก็ตทำการค้า ส่งยางขึ้นเรือขนไปขายที่ยุโรป สืบทอดส่งต่อกิจการมาถึงรุ่นลูก ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยหลายคนเลิกทำยาง หันไปทำธุรกิจท่องเที่ยว แต่วงศ์บัณฑิต ยังคงยืนหยัด และสร้างความยิ่งใหญ่ในวงกางรยางพารา ทั้งในและต่างประเทศ นักธุรกิจใหญ่ เชื้อสายจีน อีกคน ที่สร้างตัวจากเถ้าแก่ค้าวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในเกาะภูเก็ตจนตอนนี้ ก้าวมาเป็นเจ้าของโรงแรมกะตะ ปาล์มรีสอร์ท แอนด์ สปา "วิศิษฐ์ แซ่เต้ง" กว่าเจาจะยิ้มชื่นมีความสุขพร้อมหน้าครอบครัวลูกๆ และหลานๆ อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องกัดฟัน จำนองเรือนหอเพียงหลังเดียวเจ้าจำนองกับแบงก์ ด้วยเงินตั้งตัวก้อนแรก 2 แสน 5 หมื่นบาท ในปี 2551 อีกตระกูลใหญ่ในภูเก็ต ที่ยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาว บนเส้นทางแกร่ง มีเรื่องราวของ ตระกูลจิรายุส เจ้าของ 4 โรแงแรมในเครือเมอร์ลินกรุ๊ปโรงแรมระดับเฟิร์สคลาส แห่งแรกๆ ในภูเก็ต นันทนา (จิรายุส) วงศ์สัตยานนท์ และกาญจนา จิรายุส สองนายหญิงแห่งกลุ่มเมอร์ลินเล่าว่า สมัยนั้น คุณพ่อ (วีระ จิรายุส) มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล มองว่าหลังจากธุรกิจเหมืองแร่แล้ว ยุคต่อไปของภูเก็ต จะรุ่งเรืองด้วยการท่องเที่ยว "คุณพ่อมีลูกๆ ทั้งหมด 5 คน สมัยนั้นมีทั้งเหมืองดีบุก และฮาร์ดแวร์สโตน ค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องใช้ในโรงแรม แต่คุรพ่อก็มองว่าถ้าไม่หาธุรกิจอื่นมารองรับ ลูกๆ เรียนจบมาอาจจะแยกย้ายกันไปทำงานที่อื่น เลยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโรงแรมเมอร์ลินเราเริ่มจากที่ภูเก็ตยังแทบไม่มีอะไรตั้งแต่ปี 2523 จากวันนั้น ถึงวันนี้ 28 ปีแล้ว" ผ่านมรสุมลูกใหญ่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาทั้งม็อบแทนทาลัม เหตุจราจลใหญ่ในภูเก็ตเมื่อปี 2529 จนโรงแรมภูเก็ต เมอร์ลินเสียหายยับเยิน จนถึงปลายปี 2547 โดยคลื่นยักษ์สึนามิ เสียหายไป 3 เดือน แล้วก็กลับมาพื้นได้อีกครั้ง จนวันนี้ เล่าถึงเหตุการณ์ในวันวานอย่างยิ้มได้ "ถึงแม้ในช่วงที่ปิดตัว แต่เรายังจ้างพนักงานครบทุกคน แม้ไม่มีงาน ไม่มีแขก เพราะยึดถือเป็นนโยบายมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เพราะพนักงานคือคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเรา" ส่วน 2 ตระกูลคหบดีเก่าแก่แห่งเมืองภูเก็ต หงษ์หยก และ ณ ระนอง พร้อมใจกันส่งทายาทหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ของตระกูลมาเป็นตัวแทน ร่วมในงาน เริ่มที่ ชัยภัทร ณ ระนอง ลูกชายคนเดียวของ วิจิตร ณ ระนอง เจเนเรชั่นที่ 3 ของตระกูล ที่ก้าวเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า ของครอบครัว ส่วนพี่สาว ประกายแก้ว (ณ ระนอง) ธีระธาดา รับหน้าที่บริหารโรงแรมอินดิโก้เพิร์ล ภูเก็ต นอกจากธุรกิจโรงแรม รถยนต์แล้ว ตระกูล ณ ระนอง ในภูเก็ต ยังมีธุรกิจครัวการบิน ธุรกิจบันเทิง ท่องเที่ยว ฯลฯ ชัยภัทร เล่าว่า ต้นตระกูลของเขา คือรุ่นคุณทวดขุนเลิศ โภคารักษ์ หรือ หลิ่ม ตันบุญ เดินทางมาจากเมืองตีนโพ้นทะเล เข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างในภูเก็ต จนสร้างเนื้อสร้างตัว มีกิจการเหมืองแร่ "ปรัชญาจากรุ่นสู่รุ่น ที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด มาถึงรุ่นคุณย่า จนถึงรุ่นผม ท่านจะเน้นอยู่ 3 เรื่อง คือ ต้องขยัน ซื่อสัตย์ และมอบโอกาสคืนกลับกับสังคม เพราะคุณทวดเอง ก็เริ่มต้นจากเป็นลูกจ้างมาก่อน เมื่อมีโอกาส ก็จะพยายามให้เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินตั้งแต่รุ่นคุณย่ามาก็จะมีการบริจาคที่ดินให้กับโรงแรม และวิทยาลัยในภูเก็ตและหน่วยงานต่างๆ ทายาทรุ่น 3 ตรุกูล ณ ระนองเล่า ส่วนหนุ่มคนนี้ มนต์ทวี หงษ์หยก มาเป็นตัวแทนคุณอา ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก ตอนนี้ เจ้าตัวก้าวเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในรุ่นที่ 4 ของตระกูลหงษ์หยก รับหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า ในรุ่นเดียวกัน ยังมี ธนาภูมิ หงษ์หยก ลูกชายของภูมิศักดิ์ ทำหน้าที่คุมการเงินของตระกูล มนตร์ทวี บอกว่า วันนี้ กลุ่มหงษ์หยก สืบทอดมาถึงรุ่นที่ 4-5 แล้ว เป็นธุรกิจครอบครัว ที่เป็น Family Tree ที่ใหญ่มาก มีสมาชิก ลูกหลานในครอบครัวภายในร่มเงาแห่งนี้ รวมกันน่าจะเกินร้อย แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบกิจการในเครือที่แบ่งเป็น 15 บริษัทย่อย มีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ สนามกอล์ฟ ปั้มน้ำมัน โรงพยาบาล ร้านกาแฟ และอีกสารพัด ที่นับนิ้วไม่หมด หัวใจที่ทำให้คนในตระกูลหงษ์หยก ยังคงปรองดองและอยู่ร่วมกันในระบบกงสี มาถึงทุกวันนี้มนต์ทวี บอกว่า เพราะเราประนีประนอม ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกครั้งที่มีประชุมใหญ่รวมกันในตระกูล ก็จะร่วมปรึกษาหารือกันตลอด รุ่นเด็กก็จะให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่ จะทำอะไรก็มีการบอกล่าวก่อน เพราะเราเป็นเรือลำใหญ่ การเคลื่อนตัวอาจจะไม่เร็ว ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ก้าวไปอย่างมั่นคง สำหรับ 11 ตระกูลนักธุรกิจภูเก็ต ที่ถูกถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จในหนังสือ ภูเก็ต...ขุมพลังไข่มุกอันดามัน จากรุ่นถึงรุ่น ครั้งนี้ ประกอบ ตระกูลคู่พงศกร ตระกูลแซ่เต้ง ตระกูล ณ ระนอง ตระกุลนฤขัตพิชัย ตระกูลภัทรวรณี ตระกุลจิรายุส ตระกูลสุวรรณดิษฐกุล ตระกูลหงษ์หยก ตระกูลอติเศรษฐ์และตระกูลอัจฉริยฉาย ...เป็นส่วนหนึ่ง ของ ขุมพลังไข่มุกอันดามันที่สืบทอดความรุ่งเรืองของเมืองภูเก็ต จากรุ่นสู่รุ่น
บรรยายใต้ภาพ รวมพลตัวแทนจากตระกูลนักธุรกิจเมืองภูเก็ต เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่ธุรกิจยาง พยุงศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต ขึ้นมารับมอบหนังสือ ชัยภัทร ณ ระนอง วันนี้มาเป็นตัวแทนคุณพ่อวิจิตร ณ ระนอง มนต์ทวี หงษ์หยก ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลคหบดีภูเก็ต วิศิษฎ์ แซ่เต้ง เคยต้องกัดฟันจำนองเรือนหอ กว่าจะมีวันนี้ สองดอกไม้เหล็กแห่งเครือโรงแรมเมอร์ลิน "นันทนา วงศ์สัตยานนท์" และ "กาญจนา จิรายุส"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แรงบันดาลใจ" ของใครหลายคน
"แรงบันดาลใจ" ของใครหลายคน Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, November 03, 2008 11:146757 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ถึงใครจะว่าเศรษฐกิจวังเวง แต่ขึ้นชื่อเจ้าโปรเจคอย่าง อลัน นามชัยศิริ ลงทุนจัดงานนิทรรศการลีฟวิ่งอาร์ตแห่งปี ของห้างสรรพสินค้าเซนทั้งที...จะให้เงียบเหงาได้อย่างไร คืนวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา เซน อีเวนท์แกลเลอรี่ ชั้น 8 เลยคึกคักไปด้วยคนรักงานดีไซน์ในงาน Zen The Art of Living 2008 ที่ทุ่มทุนเนรมิตให้เป้นนิทรรศการลีฟ วิ่งอาร์ต รวมสุดยอดงานดีไซน์ของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ หัตถกรรมกลิ่นอายเอเชีย ของแอคทีค งานศิลป์ กว่า 500 ชิ้น ก้าวขาเข้าไป สัมผัสได้ถึง "แรงบัลดาลใจ" และพลังสร้างสรรค์ ของนักออกแบบ ที่ถ่ายทอดผ่านชิ้นงานสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น แรงบันดาลใจศิลปินดังชาวฝรั่งเศส ที่ยิบเอาศิลปะการสักบนเรือนร่างมาวาดลวดลาย บนกระเป๋าหนัง Longchamp รุ่น Limited Edition เพียง 4 ใบในเมืองไทย ร่วมด้วยผลงานแรงบันดาลใจแห่งปีของนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่ไปโด่งดังในต่างประเทศ งานดีไซน์ต้นแบบ ของตกแต่งคอลเลคชั่นพิเศษ ระดับมาสเตอร์พีช ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่ชิ้น และนิทรรศการศิลปะชุดพิเศษ "ในดวงใจนิรันดร์" ที่รังสรรค์ขึ้นโดย 10 ศิลปินชื่อดัง อาทิ จิตต์สิงห์ สมบุญ, ชลิต นาคพะวัน, ม.ล.จิราธร จิรประวัติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในงานยังละลานตา เดินดูกันได้เพลินๆ กับแรงบันดาลใจในโชว์เคส Private Collection ของสะสมในกรุคนดังทั้งกล้องสุดหวงตัวแรกในชีวิตของ "เสริมคุณ คุณาวงศ์" มรดกตกทอดจากคุณพ่อ ที่เจ้าตัวใช้ถ่ายภาพชุดแรก ส่งอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กนิเทศฯ จุฬาฯ ที่ยังประทับใจทาจนถึงทุกวันนี้ แรงบันดาลใจอาชีพช่างผมโบราณ จากแดนอีสาน อายุร่วมร้อยปี ของสะสม "สมศักดิ์ ชลาชล" แจกันสีเขียวแบบอาร์ตเดโคของ "อรนภา กฤษฎี" ส่วน มังคุด-วงศ์ชนก ชีวะศิริ อวดกระเป๋าหนัง CHANEL ที่ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยยังเรียนที่อเมริกา เป็นรุ่น Limited Edition มีไม่ถึง 20 ใบในโลก ส่วนนางเอกสาวคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ นอกจอเธอเป็นอีกคนหนึ่ง ที่โปรดปรานงานดีไซน์ไอเดียวันนั้น เลยขอร่วมแจม โชว์ฝีมือศิลปะการจัดโต๊ะอาหารโอเรียนทอล ในคอนเซปต์วันพิเศษ คนพิเศษ อวดผลงานร่วมกับศิลปะบนโต๊ะอาหารจากไอเดียศิลปินและคนดังอีกหลายคน ถึงแม้ช่วงนี้ ข่าวเศรษฐกิจฟังแล้วอาจไม่สู้ดี แต่ อลัน บอสใหญ่ห้างเซน บอกว่าคงเสียดายแย่ ถ้าจะให้ยกเลิกไม่จัดงานอย่างนี้ เพราะคนรักงานดีไซน์ คงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ชีวิตหยุดนิ่ง ยิ่งถ้าเป็นของที่เอ็กซ์คลูซีฟ หรือ ไอเดียเก๋ เริ่ด แหวกแนวได้ใจจริงๆ ลูกค้า ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ที่ไม่ซ้ำแบบใคร ก็ยังแฮปปี้ ที่จะขอจับจองเป็นเจ้าของ...
บรรยายใต้ภาพ แจกันสีเขียวแบบอาร์ตเดโคของ ม้า "อรนภา กฤษฎี" สาวแพนเค้ก อวดผลงานศิลปะบนโต๊ะอาหาร จิตต์สิงห์ สมบุญ กับผลงานศิลปะที่ชื่อว่า "มนต์" เสริมคุณ คุณาวงศ์ กับ กล้องถ่ายภาพเก่าแก่สุดหวง แรงบันดาลใจจาก "รอยสัก" บนกระเป่าถือ Longchamp--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Monday, November 03, 2008 11:146757 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ถึงใครจะว่าเศรษฐกิจวังเวง แต่ขึ้นชื่อเจ้าโปรเจคอย่าง อลัน นามชัยศิริ ลงทุนจัดงานนิทรรศการลีฟวิ่งอาร์ตแห่งปี ของห้างสรรพสินค้าเซนทั้งที...จะให้เงียบเหงาได้อย่างไร คืนวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา เซน อีเวนท์แกลเลอรี่ ชั้น 8 เลยคึกคักไปด้วยคนรักงานดีไซน์ในงาน Zen The Art of Living 2008 ที่ทุ่มทุนเนรมิตให้เป้นนิทรรศการลีฟ วิ่งอาร์ต รวมสุดยอดงานดีไซน์ของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ หัตถกรรมกลิ่นอายเอเชีย ของแอคทีค งานศิลป์ กว่า 500 ชิ้น ก้าวขาเข้าไป สัมผัสได้ถึง "แรงบัลดาลใจ" และพลังสร้างสรรค์ ของนักออกแบบ ที่ถ่ายทอดผ่านชิ้นงานสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น แรงบันดาลใจศิลปินดังชาวฝรั่งเศส ที่ยิบเอาศิลปะการสักบนเรือนร่างมาวาดลวดลาย บนกระเป๋าหนัง Longchamp รุ่น Limited Edition เพียง 4 ใบในเมืองไทย ร่วมด้วยผลงานแรงบันดาลใจแห่งปีของนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่ไปโด่งดังในต่างประเทศ งานดีไซน์ต้นแบบ ของตกแต่งคอลเลคชั่นพิเศษ ระดับมาสเตอร์พีช ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่ชิ้น และนิทรรศการศิลปะชุดพิเศษ "ในดวงใจนิรันดร์" ที่รังสรรค์ขึ้นโดย 10 ศิลปินชื่อดัง อาทิ จิตต์สิงห์ สมบุญ, ชลิต นาคพะวัน, ม.ล.จิราธร จิรประวัติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในงานยังละลานตา เดินดูกันได้เพลินๆ กับแรงบันดาลใจในโชว์เคส Private Collection ของสะสมในกรุคนดังทั้งกล้องสุดหวงตัวแรกในชีวิตของ "เสริมคุณ คุณาวงศ์" มรดกตกทอดจากคุณพ่อ ที่เจ้าตัวใช้ถ่ายภาพชุดแรก ส่งอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กนิเทศฯ จุฬาฯ ที่ยังประทับใจทาจนถึงทุกวันนี้ แรงบันดาลใจอาชีพช่างผมโบราณ จากแดนอีสาน อายุร่วมร้อยปี ของสะสม "สมศักดิ์ ชลาชล" แจกันสีเขียวแบบอาร์ตเดโคของ "อรนภา กฤษฎี" ส่วน มังคุด-วงศ์ชนก ชีวะศิริ อวดกระเป๋าหนัง CHANEL ที่ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยยังเรียนที่อเมริกา เป็นรุ่น Limited Edition มีไม่ถึง 20 ใบในโลก ส่วนนางเอกสาวคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ นอกจอเธอเป็นอีกคนหนึ่ง ที่โปรดปรานงานดีไซน์ไอเดียวันนั้น เลยขอร่วมแจม โชว์ฝีมือศิลปะการจัดโต๊ะอาหารโอเรียนทอล ในคอนเซปต์วันพิเศษ คนพิเศษ อวดผลงานร่วมกับศิลปะบนโต๊ะอาหารจากไอเดียศิลปินและคนดังอีกหลายคน ถึงแม้ช่วงนี้ ข่าวเศรษฐกิจฟังแล้วอาจไม่สู้ดี แต่ อลัน บอสใหญ่ห้างเซน บอกว่าคงเสียดายแย่ ถ้าจะให้ยกเลิกไม่จัดงานอย่างนี้ เพราะคนรักงานดีไซน์ คงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ชีวิตหยุดนิ่ง ยิ่งถ้าเป็นของที่เอ็กซ์คลูซีฟ หรือ ไอเดียเก๋ เริ่ด แหวกแนวได้ใจจริงๆ ลูกค้า ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ที่ไม่ซ้ำแบบใคร ก็ยังแฮปปี้ ที่จะขอจับจองเป็นเจ้าของ...
บรรยายใต้ภาพ แจกันสีเขียวแบบอาร์ตเดโคของ ม้า "อรนภา กฤษฎี" สาวแพนเค้ก อวดผลงานศิลปะบนโต๊ะอาหาร จิตต์สิงห์ สมบุญ กับผลงานศิลปะที่ชื่อว่า "มนต์" เสริมคุณ คุณาวงศ์ กับ กล้องถ่ายภาพเก่าแก่สุดหวง แรงบันดาลใจจาก "รอยสัก" บนกระเป่าถือ Longchamp--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ผู้หญิง "ทูอินวัน"
คอลัมน์: วันสบาย: ผู้หญิง "ทูอินวัน"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 27, 2008 10:2344854 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง โชคดีที่ชีวิตไม่ต้องเลือกข้าง เพราะทั้งงานที่รักกับงานที่รักกับงานที่ต้องรับผิดชอบคือธุรกิจอสังริมทรัพย์ของครอบครัว สามารถจัดสรรให้เดินไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ชีวิตวันนี้ของ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ดอกเตอร์สาววัย 33 ปี เลยควบทั้งบทบาท "อาจารย์ยุ้ย" ของเหล่านักศึกษาปริญญาโทเอ็มบีเอ ในรั้วจามจุรีและ"ผู้บริหารสาว" ทายาทคนโต เจ้าของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) "สอนหนังสือมา 8 ปีแล้วค่ะ ก่อนเข้ามาช่วยบริหารบริษัทอยู่หลายปี หลายคนสงสัย ทำไมถึงยังเป็นอาจารย์อยู่ ทั้งที่ใช้ทุนหมดไปนานแล้วนะ แต่ยังชอบทำคู่กันทั้งสองงานอยู่" อาจารย์ยุ้ยเริ่มต้นคุยอย่างอารมณ์ดี ระหว่างเปิดคอนโดมิเนียมหรูส่วนตัว ย่านหลังสวน พูดคุยถึงการเก็บสะสมคริสตัล กิจกรรมความสนุกร่วมกันของทุกคนในบ้าน ถ้ายกครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อไหร่จะชอบหาโอกาสไปเดินเลือกซื้อคริสตัลเสมอ "เริ่มต้นจากคุณแม่ชอบสะสมก่อนค่ะ เลยซึมซับความชอบส่งต่อมาถึงรุ่นลูก อย่างชุดครอบครัวปลาปักเบ้า ตอนนั้นไปออสเตรเลียด้วยกัน ทุกคนจะเฮฮาว่า ต้องซื้อชุดนี้มาสะสม เพราะหน้าอ้วนๆ เหมือนทุกคนในบ้าน" ชุดคริสตัลชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย จุ๋มจิ๋มน่ารัก ทั้งเซตดอกไม้ แมวเหมียว ปลาหมึก เสือ และอีกสารพัดสัตว์น้อยใหญ่ ที่วางเรียงรายเต็มตู้โชว์หน้าห้องนั่งเล่น จึงเป็นอีกมุมโปรด ยามยืนมองเล่นเพลินๆ พลอยทำให้หญิงสาวอมยิ้ม นึกย้อนไปถึงเรื่องราวความประทับใจ ข้างหลังที่มาของคริสตัลแต่ละชิ้น เป็นมุมสดใส กุ๊กกิ๊ก ที่ซุกซ่อนอยู่ในบุคลิกสาวเก่งเคร่งขรึม ดูมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง ของเธอคนนี้ บนภารกิจขับเคลื่อนธุรกิจที่แบกไว้บนบ่าของสาวตัวเล็กๆ พร้อมการปรับตัวจากธุรกิจครอบครัวมาเป็นบริษัทมหาชน ยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียดเศรษฐกิจหงอยเหงาอย่างนี้ คนเป็นผู้บริหารต้องมีความเป็นมืออาชีพสูง ทำงานภายใต้แรงกดดันที่รุมเร้า ตารางชีวิตแต่ละวันของอาจารย์ยุ้ย จึงค่อนข้างแน่นพอสมควร แต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นความโชคดี ที่ทั้งเส้นทางอาชีพอาจารย์ที่ชอบ กับการรับไม้ต่อเข้ามาบริหารเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ไม่เพียงแต่หาเวลากันได้ลงตัว แต่ยังผสานกันได้ดีกับการทำธุรกิจ "การสอนเอ็มบีเอ ต้องสอนคนทำธุรกิจถ้าอาจารย์เปิดตำราสอนอย่างเดียว มันจะแห้งๆ ไม่น่าสนใจ แต่การเข้ามาบริหารธุรกิจที่บ้านด้วย ทำให้เราเองมีโอกาสใช้ทฤษฏีในตำรา มาลองปฏิบัติจริง และใช้ตัวเองป็น Case Study แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเรียนในคลาส" อาจารย์ยุ้ย บอกว่า เสน่ห์ของอาชีพอาจารย์ อยู่ตรงที่ทั้งงานสอนและงานวิจัย ค่อนข้างมีอิสระ เราสามารถเลือกสอนวิชาที่รักและถนัดจริงๆ เช่นเดียวกับการเลือกหัวข้อทำงานวิจัยที่สนใจ ทำให้เธอรักในงานนี้ และทำต่อเนื่องมา 8 ปีแล้ว ตั้งแต่จบดอกเตอร์บินกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ตอนนั้นอายุเพิ่งจะครบเบญจเพส "แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบหรือไม่อยากทำธุรกิจที่บ้านนะคะ เพราะเราเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ ตั้งแต่เด็กคุณพ่อก็จะปลูกฝังมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ช่วงนั้นคุณพ่อเริ่มไม่ค่อยสบาย เลยต้องเข้ามาช่วยงานที่บ้านแต่ก็ยังสนุกกับอาชีพสอนหนังสืออยู่ บางครั้งแค่คำพูดง่ายๆ คำขอบคุณที่ได้รับระหว่างการสอนหนังสือจากนักเรียนในคลาสเพียงเท่านี้ก็ทำให้รู้สึกหายเหนื่อยว่าเราทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น" เธอว่า ทั้งตระกูลไม่มีใครรับข้าราชการสักคนเดียวเป็นนักธุรกิจกันหมด ตัวเองเลยถือเป็นข้าราชการคนแรกในตระกูล เป็นเส้นทางเดินชีวิตที่ออกจะแปลก"แหวกแนว" กว่าคนอื่นๆ ในครอบครัว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดแล้วลูกไม้ลูกนี้ ก็ขอกลับมาตกใต้ต้น เสนา ดีวอลลอปเม้นท์ อยู่ดี--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Monday, October 27, 2008 10:2344854 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง โชคดีที่ชีวิตไม่ต้องเลือกข้าง เพราะทั้งงานที่รักกับงานที่รักกับงานที่ต้องรับผิดชอบคือธุรกิจอสังริมทรัพย์ของครอบครัว สามารถจัดสรรให้เดินไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ชีวิตวันนี้ของ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ดอกเตอร์สาววัย 33 ปี เลยควบทั้งบทบาท "อาจารย์ยุ้ย" ของเหล่านักศึกษาปริญญาโทเอ็มบีเอ ในรั้วจามจุรีและ"ผู้บริหารสาว" ทายาทคนโต เจ้าของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) "สอนหนังสือมา 8 ปีแล้วค่ะ ก่อนเข้ามาช่วยบริหารบริษัทอยู่หลายปี หลายคนสงสัย ทำไมถึงยังเป็นอาจารย์อยู่ ทั้งที่ใช้ทุนหมดไปนานแล้วนะ แต่ยังชอบทำคู่กันทั้งสองงานอยู่" อาจารย์ยุ้ยเริ่มต้นคุยอย่างอารมณ์ดี ระหว่างเปิดคอนโดมิเนียมหรูส่วนตัว ย่านหลังสวน พูดคุยถึงการเก็บสะสมคริสตัล กิจกรรมความสนุกร่วมกันของทุกคนในบ้าน ถ้ายกครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อไหร่จะชอบหาโอกาสไปเดินเลือกซื้อคริสตัลเสมอ "เริ่มต้นจากคุณแม่ชอบสะสมก่อนค่ะ เลยซึมซับความชอบส่งต่อมาถึงรุ่นลูก อย่างชุดครอบครัวปลาปักเบ้า ตอนนั้นไปออสเตรเลียด้วยกัน ทุกคนจะเฮฮาว่า ต้องซื้อชุดนี้มาสะสม เพราะหน้าอ้วนๆ เหมือนทุกคนในบ้าน" ชุดคริสตัลชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย จุ๋มจิ๋มน่ารัก ทั้งเซตดอกไม้ แมวเหมียว ปลาหมึก เสือ และอีกสารพัดสัตว์น้อยใหญ่ ที่วางเรียงรายเต็มตู้โชว์หน้าห้องนั่งเล่น จึงเป็นอีกมุมโปรด ยามยืนมองเล่นเพลินๆ พลอยทำให้หญิงสาวอมยิ้ม นึกย้อนไปถึงเรื่องราวความประทับใจ ข้างหลังที่มาของคริสตัลแต่ละชิ้น เป็นมุมสดใส กุ๊กกิ๊ก ที่ซุกซ่อนอยู่ในบุคลิกสาวเก่งเคร่งขรึม ดูมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง ของเธอคนนี้ บนภารกิจขับเคลื่อนธุรกิจที่แบกไว้บนบ่าของสาวตัวเล็กๆ พร้อมการปรับตัวจากธุรกิจครอบครัวมาเป็นบริษัทมหาชน ยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียดเศรษฐกิจหงอยเหงาอย่างนี้ คนเป็นผู้บริหารต้องมีความเป็นมืออาชีพสูง ทำงานภายใต้แรงกดดันที่รุมเร้า ตารางชีวิตแต่ละวันของอาจารย์ยุ้ย จึงค่อนข้างแน่นพอสมควร แต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นความโชคดี ที่ทั้งเส้นทางอาชีพอาจารย์ที่ชอบ กับการรับไม้ต่อเข้ามาบริหารเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ไม่เพียงแต่หาเวลากันได้ลงตัว แต่ยังผสานกันได้ดีกับการทำธุรกิจ "การสอนเอ็มบีเอ ต้องสอนคนทำธุรกิจถ้าอาจารย์เปิดตำราสอนอย่างเดียว มันจะแห้งๆ ไม่น่าสนใจ แต่การเข้ามาบริหารธุรกิจที่บ้านด้วย ทำให้เราเองมีโอกาสใช้ทฤษฏีในตำรา มาลองปฏิบัติจริง และใช้ตัวเองป็น Case Study แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเรียนในคลาส" อาจารย์ยุ้ย บอกว่า เสน่ห์ของอาชีพอาจารย์ อยู่ตรงที่ทั้งงานสอนและงานวิจัย ค่อนข้างมีอิสระ เราสามารถเลือกสอนวิชาที่รักและถนัดจริงๆ เช่นเดียวกับการเลือกหัวข้อทำงานวิจัยที่สนใจ ทำให้เธอรักในงานนี้ และทำต่อเนื่องมา 8 ปีแล้ว ตั้งแต่จบดอกเตอร์บินกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ตอนนั้นอายุเพิ่งจะครบเบญจเพส "แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบหรือไม่อยากทำธุรกิจที่บ้านนะคะ เพราะเราเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ ตั้งแต่เด็กคุณพ่อก็จะปลูกฝังมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ช่วงนั้นคุณพ่อเริ่มไม่ค่อยสบาย เลยต้องเข้ามาช่วยงานที่บ้านแต่ก็ยังสนุกกับอาชีพสอนหนังสืออยู่ บางครั้งแค่คำพูดง่ายๆ คำขอบคุณที่ได้รับระหว่างการสอนหนังสือจากนักเรียนในคลาสเพียงเท่านี้ก็ทำให้รู้สึกหายเหนื่อยว่าเราทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น" เธอว่า ทั้งตระกูลไม่มีใครรับข้าราชการสักคนเดียวเป็นนักธุรกิจกันหมด ตัวเองเลยถือเป็นข้าราชการคนแรกในตระกูล เป็นเส้นทางเดินชีวิตที่ออกจะแปลก"แหวกแนว" กว่าคนอื่นๆ ในครอบครัว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดแล้วลูกไม้ลูกนี้ ก็ขอกลับมาตกใต้ต้น เสนา ดีวอลลอปเม้นท์ อยู่ดี--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วิถีมอญ...ในพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพฯSource
คอลัมน์: C..Square: วิถีมอญ...ในพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพฯSource - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Thursday, October 16, 2008 07:4111389 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง ภาพ: นันทสิทธิ นิตย์เมธา
งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามธรรมเนียมแบบมอญ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการร้อยดวงใจชาวไทยเชื้อสายมอญทั่วทุกสารทิศ ร่วมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ยังถือเป็นงานมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ที่สืบสานจารีตประเพณีแบบมอญ มรดกทางวัฒนธรรม และคติความเชื่อของ "ชาวมอญ" จากรุ่นสู่รุ่น บริเวณลานพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในวันนั้น เนืองแน่นด้วยชาวไทยเชื้อสายมอญจากทั่วประเทศกว่า 3,000 คน ไม่ว่าจะเป็นมอญปากเกร็ด มอญบางกระดี่ อยุธยา สมุทรสาคร ราชบุรี นครสวรรค์ ฯลฯ ที่มาร่วมกันในงานบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จัดโดยชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ และชาวไทยเชื้อสายมอญ โดยมีตัวแทนชาวไทยเชื้อสายมอญ จากราชสกุล "กฤดากร" ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร, ม.ร.ว.สมชนก กฤดากร และ ท่านผู้หญิงบุตร วีระไวทยะ ร่วมเป็นประธานในพิธี นอกจากเหล่าสตรีเชื้อสายมอญทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ที่พากันแต่งกายตามแบบมอญ เกล้าผมมวย พาดผ้าสไบมอญ บ้างก็กลัดเข็มกลัดรูปหงส์บนอกเสื้อ มาร่วมในงานอย่างคับคั่งแล้ว ยังมีตัวแทนมอญสังขละบุรีที่พากันแต่งกายในชุดสีแดงอันเป็นชุดประจำชาติมอญ มาร่วมในงานด้วย เนื่องจากชาวมอญถือว่างานศพเป็นงานมงคลเพื่อร่วมส่งวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่สรวงสวรรค์ งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ครั้งนี้ นอกจากจะมีการสวดพระพุทธมนต์มอญ การแสดงพระธรรมเทศนามอญ การถวายจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์แล้ว ยังมีพิธีกรรมสำคัญซึ่งชาวไทยเชื้อสายมอญได้ร่วมกันสร้างพระพุธรูปศิลปะมอญอุทิศถวาย และได้จัดพิธีสมโภชพระพุทธรูปตามธรรมเนียมมอญ หรือที่ชาวมอญเรียกกันว่าพิธี "เทาะอะโย่งกย้าจก์" คนมอญตั้งแต่โบราณนิยมสร้างพระพุทธรูปเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ผู้ล่วงลับโดยการประกอบพิธีกรรมเพื่อสมโภชพระพุทธรูปของชาวมอญนั้นจะแฝงความหมายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ซึ่งเปรียบเหมือนการบังเกิดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรกบนโลก โดยพระสงฆ์จะสวดบท "อเนกะชา" และประธานในพิธีและผู้ร่วมบำเพ็ญกุศลที่นั่งล้อมรอบถาดใบใหญ่ที่มีน้ำขมิ้นผสมปูนอันมีความหมายถึงแม่น้ำเนรัญชรา จะทิ้งเหรียญกษาปณ์กับใบโพธิ์ที่ผูกด้วยหญ้าแพรกทีละชุดจนครบทั้งหมดจำนวน 7 ชุด โดยเหรียญที่กระทบถาดส่งเสียงดังเป็นการระลึกถึงถาดทองที่พระพุทธเจ้าทรงลอยลงในแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากเสวยมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายแล้ว ในพิธีสมโภชพระพุทธรูปแบบมอญ เพื่อบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ครั้งนี้ยังมีการจำลองวิหารเชตะวัน ซึ่งเป็นบ้านหรือปราสาทแบบมอญ ประดับตกแต่งลวดลายอย่างงดงาม นอกจากนี้ยังมีพิธีถวายไทยทานและกรวดน้ำโดยในโอกาสสำคัญนี้ ชายไทยเชื้อสายมอญได้จัดทำผอบมอญที่ใช้ถวายไทยทานตามธรรมเนียมมอญ หรือที่เรียกว่า "ฮะอุบ" จำนวน 50 ชุด สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษจากเมืองมอญในพม่า เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ที่นิมนต์จากวัดมอญในเมืองไทย และที่ขาดไม่ได้ ในประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของการจัดพิธีศพแบบมอญ นั่นคือ "มอญร้องไห้" โดยคณะมอญร้องไห้อยุธยา ถวายคำพรรณนาสดุดีพระเกียรติคุณประกอบการบรรเลงปี่พาทย์มอญ เพื่อถวายความอาลัยและน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย มอญร้องไห้เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลานต่อผู้ตาย อีกทั้งยังเป็นการรำพันคุณงามความดีของผู้ตายที่กระทำไว้เมื่อครั้งยังมีลมหายใจ ผู้ร้องจะใช้ปฏิภาณกวีโดยเนื้อหาที่ร้องนั้นไม่ตายตัว และเป็นภาษามอญ งานนี้ยังมีพิธีกรรมสำคัญของชาวไทยเชื้อสายมอญอีกพิธีหนึ่งนั่นคือพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ หรือพิธี "รำสามถาด" ซึ่งเรียกขานภาษามอญว่า "เละ ป้อย ทะห์" จัดขึ้นตามธรรมเนียมมอญโบราณ โดยปี่พาทย์มอญวงใหญ่ด้านข้างพระที่นั่งดุสิตฯ บรรเลงเพลงมอญเพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีผู้รำทั้งหมด 3 คน พร้อมถาดเครื่องสังเวยและเครื่องประกอบการรำ 4 อย่าง ได้แก่ ใบไม้ (ใบหว้า หรือใบกระดูกขาไก่) 2 กำ กระสวยทอผ้าและไม้อย่างละอัน มีดดาบ 2 เล่ม และสุราขาว 2 ขวด การรำบวงสรวงถาดที่หนึ่ง เป็นการบอกกล่าวและถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวดา และพระสยามเทวาธิราช การรำบวงสรวงถาดที่สองเป็นการรำถวายองค์พระบูรพมหากษัตริยาธิราช และวีรชนผู้ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองและการรำบวงสรวงถาดที่สาม เพื่อถวายราชสักการะแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และเป็นการอัญเชิญดวงพระวิญญาณเสด็จสู่สรวงสวรรค์ พิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพแบบมอญในวันนั้นปิดท้ายด้วยนาฎศิลป์ชั้นสูงของชาวมอญ โดยคณะมอญรำเกาะเกร็ดหลากหลายวัยกว่า 50 ชีวิต แต่งกายนุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า เสื้อแขนกระบอกเข้ารูปรัดเอว พาดผ้าสไบ และเกล้าผมมวยแบบมอญ ร่วมน้อยใจรำบวงสรวงถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นำโดย "ป้าปรุง" มะลิ วงศ์จำนงค์ ครูสอนรำมอญรุ่นอาวุโสวัย 81 ปี "รำมอญดั้งเดิมของเกาะเกร็ดจะมีด้วยกันทั้งหมด 12 ท่า ที่คนมารำวันนี้มาด้วยใจ มีทั้งเด็กสาว ผู้ใหญ่ ใครที่อยากจะมารำถวายสมเด็จพระพี่นางฯ ก็จะพร้อมใจกันมา นอกจากลูกหลานชาวมอญแล้วก็ยังมีอาจารย์จากศิลปากร ที่มาเรียนการรำมอญกับป้า ก็มาร่วมรำด้วย" ป้าปรุงเล่าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามธรรมเนียมแบบมอญครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ เคยเป็นเจ้าภาพพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพฯ ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ งานพระศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และงานพระศพสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี หมายเหตุ: ประมวลข้อมูลจากคณะกรรมการจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พิศาล บุญผูก ผู้เชี่ยวชาญด้านมอญ, ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ เว็บไซต์ http://www.monstudies.com
Thursday, October 16, 2008 07:4111389 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง ภาพ: นันทสิทธิ นิตย์เมธา
งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามธรรมเนียมแบบมอญ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการร้อยดวงใจชาวไทยเชื้อสายมอญทั่วทุกสารทิศ ร่วมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ยังถือเป็นงานมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ที่สืบสานจารีตประเพณีแบบมอญ มรดกทางวัฒนธรรม และคติความเชื่อของ "ชาวมอญ" จากรุ่นสู่รุ่น บริเวณลานพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในวันนั้น เนืองแน่นด้วยชาวไทยเชื้อสายมอญจากทั่วประเทศกว่า 3,000 คน ไม่ว่าจะเป็นมอญปากเกร็ด มอญบางกระดี่ อยุธยา สมุทรสาคร ราชบุรี นครสวรรค์ ฯลฯ ที่มาร่วมกันในงานบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จัดโดยชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ และชาวไทยเชื้อสายมอญ โดยมีตัวแทนชาวไทยเชื้อสายมอญ จากราชสกุล "กฤดากร" ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร, ม.ร.ว.สมชนก กฤดากร และ ท่านผู้หญิงบุตร วีระไวทยะ ร่วมเป็นประธานในพิธี นอกจากเหล่าสตรีเชื้อสายมอญทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ที่พากันแต่งกายตามแบบมอญ เกล้าผมมวย พาดผ้าสไบมอญ บ้างก็กลัดเข็มกลัดรูปหงส์บนอกเสื้อ มาร่วมในงานอย่างคับคั่งแล้ว ยังมีตัวแทนมอญสังขละบุรีที่พากันแต่งกายในชุดสีแดงอันเป็นชุดประจำชาติมอญ มาร่วมในงานด้วย เนื่องจากชาวมอญถือว่างานศพเป็นงานมงคลเพื่อร่วมส่งวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่สรวงสวรรค์ งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ครั้งนี้ นอกจากจะมีการสวดพระพุทธมนต์มอญ การแสดงพระธรรมเทศนามอญ การถวายจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์แล้ว ยังมีพิธีกรรมสำคัญซึ่งชาวไทยเชื้อสายมอญได้ร่วมกันสร้างพระพุธรูปศิลปะมอญอุทิศถวาย และได้จัดพิธีสมโภชพระพุทธรูปตามธรรมเนียมมอญ หรือที่ชาวมอญเรียกกันว่าพิธี "เทาะอะโย่งกย้าจก์" คนมอญตั้งแต่โบราณนิยมสร้างพระพุทธรูปเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ผู้ล่วงลับโดยการประกอบพิธีกรรมเพื่อสมโภชพระพุทธรูปของชาวมอญนั้นจะแฝงความหมายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ซึ่งเปรียบเหมือนการบังเกิดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรกบนโลก โดยพระสงฆ์จะสวดบท "อเนกะชา" และประธานในพิธีและผู้ร่วมบำเพ็ญกุศลที่นั่งล้อมรอบถาดใบใหญ่ที่มีน้ำขมิ้นผสมปูนอันมีความหมายถึงแม่น้ำเนรัญชรา จะทิ้งเหรียญกษาปณ์กับใบโพธิ์ที่ผูกด้วยหญ้าแพรกทีละชุดจนครบทั้งหมดจำนวน 7 ชุด โดยเหรียญที่กระทบถาดส่งเสียงดังเป็นการระลึกถึงถาดทองที่พระพุทธเจ้าทรงลอยลงในแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากเสวยมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายแล้ว ในพิธีสมโภชพระพุทธรูปแบบมอญ เพื่อบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ครั้งนี้ยังมีการจำลองวิหารเชตะวัน ซึ่งเป็นบ้านหรือปราสาทแบบมอญ ประดับตกแต่งลวดลายอย่างงดงาม นอกจากนี้ยังมีพิธีถวายไทยทานและกรวดน้ำโดยในโอกาสสำคัญนี้ ชายไทยเชื้อสายมอญได้จัดทำผอบมอญที่ใช้ถวายไทยทานตามธรรมเนียมมอญ หรือที่เรียกว่า "ฮะอุบ" จำนวน 50 ชุด สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษจากเมืองมอญในพม่า เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ที่นิมนต์จากวัดมอญในเมืองไทย และที่ขาดไม่ได้ ในประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของการจัดพิธีศพแบบมอญ นั่นคือ "มอญร้องไห้" โดยคณะมอญร้องไห้อยุธยา ถวายคำพรรณนาสดุดีพระเกียรติคุณประกอบการบรรเลงปี่พาทย์มอญ เพื่อถวายความอาลัยและน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย มอญร้องไห้เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลานต่อผู้ตาย อีกทั้งยังเป็นการรำพันคุณงามความดีของผู้ตายที่กระทำไว้เมื่อครั้งยังมีลมหายใจ ผู้ร้องจะใช้ปฏิภาณกวีโดยเนื้อหาที่ร้องนั้นไม่ตายตัว และเป็นภาษามอญ งานนี้ยังมีพิธีกรรมสำคัญของชาวไทยเชื้อสายมอญอีกพิธีหนึ่งนั่นคือพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ หรือพิธี "รำสามถาด" ซึ่งเรียกขานภาษามอญว่า "เละ ป้อย ทะห์" จัดขึ้นตามธรรมเนียมมอญโบราณ โดยปี่พาทย์มอญวงใหญ่ด้านข้างพระที่นั่งดุสิตฯ บรรเลงเพลงมอญเพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีผู้รำทั้งหมด 3 คน พร้อมถาดเครื่องสังเวยและเครื่องประกอบการรำ 4 อย่าง ได้แก่ ใบไม้ (ใบหว้า หรือใบกระดูกขาไก่) 2 กำ กระสวยทอผ้าและไม้อย่างละอัน มีดดาบ 2 เล่ม และสุราขาว 2 ขวด การรำบวงสรวงถาดที่หนึ่ง เป็นการบอกกล่าวและถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวดา และพระสยามเทวาธิราช การรำบวงสรวงถาดที่สองเป็นการรำถวายองค์พระบูรพมหากษัตริยาธิราช และวีรชนผู้ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองและการรำบวงสรวงถาดที่สาม เพื่อถวายราชสักการะแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และเป็นการอัญเชิญดวงพระวิญญาณเสด็จสู่สรวงสวรรค์ พิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพแบบมอญในวันนั้นปิดท้ายด้วยนาฎศิลป์ชั้นสูงของชาวมอญ โดยคณะมอญรำเกาะเกร็ดหลากหลายวัยกว่า 50 ชีวิต แต่งกายนุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า เสื้อแขนกระบอกเข้ารูปรัดเอว พาดผ้าสไบ และเกล้าผมมวยแบบมอญ ร่วมน้อยใจรำบวงสรวงถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นำโดย "ป้าปรุง" มะลิ วงศ์จำนงค์ ครูสอนรำมอญรุ่นอาวุโสวัย 81 ปี "รำมอญดั้งเดิมของเกาะเกร็ดจะมีด้วยกันทั้งหมด 12 ท่า ที่คนมารำวันนี้มาด้วยใจ มีทั้งเด็กสาว ผู้ใหญ่ ใครที่อยากจะมารำถวายสมเด็จพระพี่นางฯ ก็จะพร้อมใจกันมา นอกจากลูกหลานชาวมอญแล้วก็ยังมีอาจารย์จากศิลปากร ที่มาเรียนการรำมอญกับป้า ก็มาร่วมรำด้วย" ป้าปรุงเล่าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ งานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามธรรมเนียมแบบมอญครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ เคยเป็นเจ้าภาพพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพฯ ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ งานพระศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และงานพระศพสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี หมายเหตุ: ประมวลข้อมูลจากคณะกรรมการจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พิศาล บุญผูก ผู้เชี่ยวชาญด้านมอญ, ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ เว็บไซต์ http://www.monstudies.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)