dulyapanya
web ของ ดุลยปัญญ์ กรณฑ์แสง
วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565
Bangkok--2 Jun--Center for International Private Enterprise
May 31st, 2011
An interview with Manal Omar
Director of Iraq and Iran Programs, United States Institute of Peace
CIPE: Women represent 70 percent of the world’s poor even though they perform over 60 percent of the world’s work. What are some of the key barriers women face in political, economic, and civic spheres that prevent them from equal participation?
Manal Omar (MO): The biggest barrier is access by women to the decision-making table. This does not just mean women’s participation in national government or representation in parliament. Such high-level inclusion is an important step but does not necessarily translate into empowering women on the ground in other spheres beyond the national political arena. Women need to be part of farmers’ collectives, business associations, labor unions, city councils, etc.
Often women are performing tasks in an informal capacity and their real contributions are not captured. Many societies use religious and cultural arguments to force women into the invisible sphere. However, over time, societies are beginning to realize they will not be able to progress without the full participation of women.
I often highlight that we have moved beyond the “nice” argument – in other words, the argument that focuses on women’s empowerment as a nice thing to do. It has become very clear that women’s empowerment is necessary. To incorporate women in the political, economic, and civic lives of their countries is smart and strategic. Any country that wants to see economic growth, strong governance, and sustainable peace must ensure that women are included not only as various policies are implemented, but from the beginning of the decision-making process
View this article in PDF format: http://www.cipe.org/publications/fs/pdf/053111.pdf
*Source: Center for International Private Enterprise (www.cipe.org)
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ผ่านพ้นจึงค้นพบ
My Way: ผ่านพ้นจึงค้นพบ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, December 26, 2011 06:18
18005 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตา นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ผ่านจอทีวีในฐานะคุณหมอพิธีกรรายการ The Symptom เกมหมอยอดนักสืบ
แต่ตัวตนที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือแรงบันดาลใจจากความป่วยไข้ที่คุณหมอผ่าตัดหัวใจเจอเข้ากับตัวเอง จนนำสู่มาเป็นจุดเปลี่ยนหันหลังให้กับอาชีพที่เคยทำมากว่า 20 ปี ค้นพบคำตอบบนทางเดินสายใหม่ในวัย 56 กับการหันกลับมาศึกษาด้านเวชศาสตร์ครอบครัว
ส่วนตัวสนใจเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพมานานแล้ว จริงๆ สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ก็อยากจะทำงานด้านส่งเสริมสุขภาพ แต่ชีวิตก็ถูกผลักดันให้ไปเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่ 20 กว่าปี ณ จุดหนึ่งสุขภาพตัวเองเริ่มแย่ มีอาการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่สุดเลยตัดสินใจก้าวลงจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาทำเรื่องสร้างเสริมสุขภาพเรื่องเดียว อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 เล่าถึงแรงบันดาลใจ
ไม่ใช่แค่สุขภาพกายที่ย่ำแย่ น้ำหนักตัวขึ้น พุงโร ไขมันในเลือดสูง เข้าข่ายโรคหัวใจขาดเลือด แต่สุขภาพใจก็ทรุดไม่น้อยไปกว่ากันด้วยอาการของ โรคซึมเศร้า ที่เข้ามาคุกคาม
มันเป็นอาการ 2-3 อย่างที่มาพร้อมกัน หนึ่ง..เมื่อร่างกายไม่ค่อยได้ดุล จิตเราก็เป๋ไปด้วย สอง..คือ เรื่องวัย เมื่อทำงานมากถึงวัยหนึ่ง อารมณ์ก็ชักจะแปรปรวนเหมือนผู้หญิงหมดประจำเดือน สาม..คือความเครียดจากหน้าที่การงาน บางทีเราควบคุมปัจจัยต่างๆ ไม่ได้ ก็เครียดมาก โดยเฉพาะการทำงานด้านบริหาร ต้องดูแลธุรกิจ ดูยอดตัวเลข
อาการช่วงนั้น จิตใจจะเหมือนมีหมอกควันครอบงำอยู่ตลอดเวลา มันไม่สดใส เวลาเราไปปราศรัยไปพูดกับผู้คน เราจะรู้สึกเลยว่านี่ไม่ใช่เรา สมัยก่อนเราพูดกับคนเยอะๆ พูดกับลูกน้อง ทั้งพูดเจรจาธุรกิจบนโต๊ะ เรารู้ว่านี่เป็นเรา แต่เวลาที่โดนหมอกครอบไม่ใช่เรา เหมือนกับเรามานั่งมองตัวเอง กำลังแสดงอะไรอย่างฝืนๆ แกนๆ นี่คืออาการของโรคซึมเศร้า ถ้าเราไม่เอ็นจอยไลฟ์ หงุดหงิด ไม่แฮปปี้กับชีวิต จุดนั้นแสดงว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว สเต็ปที่หนึ่งคือการรักษาตัวเองก่อน
แต่หลังจากลองปรึกษาแพทย์รุ่นน้องที่เชี่ยวชาญด้านจิตเวช ลองรักษาโดยกินยาอยู่ 2 เดือนกว่า ก็ตัดสินใจโยนยาทิ้ง เพราะภรรยาบอกว่ายิ่งกินยานาน อาการยิ่งแย่ ความที่ไม่อยากรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งกายและใจโดยใช้ยา ทำให้คุณหมอเลือกใช้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
ถามว่าผมปรับยังไงบ้าง การปรับที่มีผลชะงัดมากที่สุดกับการรักษาโรคทางใจ คือการออกกำลังกาย โดยทฤษฎีมันทำให้มีสารเอ็นโดรฟิน ในทางปฏิบัติมันเห็นผล การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้ ใจมันดีขึ้นเอง
นอกจากนี้ ยังใช้การบริหารจัดการความเครียดโดยการหัดหยุดคิด เพราะความเครียดมักเกิดจากความคิด วิธีการคือพยายามตามดูว่าตัวเองกำลังคิดอะไร เช่น กำลังหงุดหงิด ก็จะถอยมานั่งดูตัวเองซิว่าหงุดหงิดเรื่องอะไร ใช้วิธีนี้ความคิดก็ไม่วุ่นวาย ประกอบกับเมื่อเลิกเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว เรื่องที่เราไม่ค่อยชอบและไม่ถนัดแต่ต้องทำด้วยความรับผิดชอบก็ไม่มีแล้ว ทุกวันนี้มีแต่เรื่องที่อยากจะทำ
ในวัย 56 คุณหมอยังตัดสินใจหันหลังให้งานผ่าตัดหัวใจที่ทำมากกว่า 20 ปี ผ่าตัดคนไข้ไปกว่า 2,000 ราย
จุดหนึ่งที่ทำให้ผมปลงอนิจจังกับงานผ่าตัดหัวใจ คือ ตอนไปดูงานผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลหัวใจในปากีสถาน ที่นั่นมีคนหัวใจวายเข้ามาวันละ 500 กว่าคน ห้องฉุกเฉินแน่นอย่างกับสวนจตุจักร มีเตียงเป็นร้อยสำหรับคอยหยอดยาละลายลิ่มเลือด เพราะหมอรับรักษาไว้ในโรงพยาบาลได้แค่วันละ 100 คน ที่ประตูห้องซีซียูจึงต้องมีทหารคอยถือปืนกลคุมไว้ ไม่อย่างนั้นคนจะแย่งกันเข้าไปในห้อง เห็นแล้วทำให้คิดว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุคงไม่ใช่วิธีที่เวิร์ค สมัยเป็นหนุ่มๆ ตอนเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ เราก็ชอบเล่นบทของพระเจ้า คนจะตายเราไปลากกลับมาได้ เราก็ภูมิใจว่าเราแน่ (หัวเราะ) แต่พอมาเห็นอย่างนี้แล้วเรารู้ว่าต่อให้ผ่าให้ยังไง ก็คงไม่ได้แก้ปัญหาเท่าไหร่....
เหลืออีกไม่กี่ปีจะเกษียณ ผมถามกับตัวเองว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไรให้มีค่ามีประโยชน์กับคนอื่น ถ้าเรายังเดินเส้นทางเดิมก็ต้องผ่าตัดหัวใจคนไข้ทุกวัน เหมือนทำงานกลิ้งหินขึ้นภูเขา กลิ้งขึ้นไปเดี๋ยวหินก็หล่นลงมาต้องกลิ้งขึ้นไปใหม่ เป็นงานที่เหนื่อยและแก้ที่ปลายเหตุ ผ่าไปได้ไม่กี่ปีเดี๋ยวคนไข้คนเดิมก็กับมาผ่าตัดใหม่ การมาเสาะหาเครื่องมือที่จะทำให้คนมาดูแลสุขภาพจึงน่าจะดีกว่า....
แต่ถึงจะวางมือ กลางคืนทุกคืนก็ยังฝันถึงห้องผ่าตัด ในฝันจะมีแต่เลือด เห็นการผ่าตัดที่ยากๆ การผ่าตัดที่ซับซ้อนตามมาหลอกหลอน จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วก็ต้องปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่ความฝันไม่ใช่ความจริง
3 ปีมาแล้วที่คุณหมอหันมาสโลว์ดาวน์ชีวิต ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ พร้อมกับหันมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัวอย่างเต็มตัว ในบทบาทหัวหน้าศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 เพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ต้นทางของปัญหาสุขภาพ
การถอยกลับมาดูแลตัวเอง ทำให้พบว่าหลักฐานงานวิจัยมากเกินพอที่จะสรุปได้ว่า ยาไม่ใช่คำตอบเดียวของการรักษา แต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ถูกต้อง การจัดการความเครียดที่เหมาะสม สามารถลดอัตราการตายจากโรคหัวใจได้ แถมยังใช้รักษาโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไขมันในเลือดสูงได้ดีกว่ายาเสียเอง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากที่สุด คือ การหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจังทุกวัน คือ ต้องอยู่ในระดับที่ หนักพอควร ซึ่งเขานิยามว่าจะต้องเหนื่อยหอบจนร้องเพลงไม่ได้ สอง..ต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที และสาม..ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
ผมพยายามปลุกปล้ำกับตัวเองอยู่นานเกินปี กว่าที่จะบังคับตัวเองให้ปรับการใช้ชีวิตใหม่ได้ ออกกำลังกายทุกวันตอนนี้ทำอยู่ 3 อย่าง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และเดินเร็วๆ บ้าง เวลาไปทำงานจอดรถชั้น 4 ก็ใช้เดินขึ้นบันไดไปถึงที่ทำงานชั้น 19 ทุกวัน
นอกจากนี้ดูแลเรื่องอาหารการกิน จากเดิมที่จะกินอาหารจากตู้เย็น อาหารไมโครเวฟ โดยเฉพาะเค้ก ก็เลิกกินอาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัวทั้งหมด หันมาเพิ่มทานผักผลไม้ให้มาก วิธีของผมคือเอาผลไม้ใส่ในเครื่องปั่นผลไม้ดื่มทั้งน้ำและเนื้อไม่เอาอะไรทิ้ง เริ่มจากมื้อเช้าก็ติดใจหิ้วมากินมื้อเที่ยงที่ทำงานด้วย นอกจากนี้ คือจัดการเรื่องความเครียดควบคู่กันไป ทำแล้วก็รู้สึกว่าสุขภาพมันก็ดีขึ้น ดัชนีสุขภาพต่างๆ มันก็ดีขึ้น จากเดิมที่จะต้องใช้ยาก็ไม่ต้องใช้แล้ว เราก็เลยมาคิดว่าถ้าเอาจริงจังมันได้ผล...เท่าที่ทำมากับตัวเอง 3 ปีก็ดี กับคนไข้ก็ดี เหลือแต่ว่าเราจะทำอย่างไรที่จะรณรงค์ให้เป็นวิถีชีวิตของคนโดยมาก
บทบาทงานส่งเสริมสุขภาพมาพร้อมกับการสอน ถ่ายทอดให้ความรู้ และบรรยายให้กับหน่วยงานต่างๆ และล่าสุดกับการทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการเกมโชว์ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชนทางทีวี ที่ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่คุณหมอย้ำว่าภารกิจสร้างเสริมสุขภาพยังต้องทำควบคู่กับวิธีอื่นๆ จึงจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ดี
วิธีที่ดีที่สุด คือ การปรับที่หมอกับคนไข้รักษา แต่ทำได้ยาก เพราะโครงสร้างระบบไม่เอื้อ ในแง่ที่เวลามันน้อยเกินไป การช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพบางอย่าง อย่างเช่น เราอยากจะให้เขาเลิกบุหรี่ มันต้องเกาะติดเป็นสเต็ป เช่น คุณเชื่อไหมว่าสูบบุหรี่ไม่ดี ถ้าคุณไม่เชื่อก็จะต้องให้เขาดูหลักฐาน ให้เขาเชื่อ เชื่อ ต้องไปไล่ไปทีละสเต็ป ต้องตามช่วย ตามพยุง หาทางเลือกที่เหมาะเจาะไปทีละคน
นอกจากปัจจัยเวลาแล้ว คือ ปัจจัยที่ตัวหมอเอง ก็ไม่ได้เคยถูกสอนมาให้ดูแลสุขภาพตัวเองเป็นนิสัย แต่หลักสูตรทำตรงกันข้ามในเวลา 6 ปีคุณต้องอ่านหนังสือ เรียนหนัก พอจบมาแล้ว ไลฟ์สไตล์ของหมอก็ไม่เอื้อให้ออกกำลังกาย ถ้าหมอยังดูแลสุขภาพตัวเองไม่เป็น ก็คงไม่มีศักยภาพที่จะเป็นไปเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้
รูปแบบที่สองที่ผมกำลังทดลองอยู่ คือ รูปแบบที่เรียกว่า Helth Camp คือเอาคนกลุ่มหนึ่ง เช่น เจาะเฉพาะคนที่อ้วนอย่างเดียว หรือคนเกษียณ ไปเข้าคอร์สปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในสถานที่และเวลา 5-7 วัน ทดลองทำว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ส่วนรูปแบบที่สามที่อยากจะเริ่มทำโดยการใช้องค์กรท้องถิ่น เช่น อบต. สมาคมแม่บ้านตามชุมชนต่างๆ ซึ่งเขาพยายามส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว เช่น มีชมรมร้องเพลงเก่า ชมรมออกกำลังกายตอนเช้า มีรำวงย้อนยุค ถ้าเราเข้าไปเสริมตรงนี้ แล้วก็มีวิธีที่จะให้เขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดการปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบก็น่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีและขยายผลได้
ปัจจุบันในวัย 59 เหลือเวลาอีกไม่ถึงปีจะเกษียณ คุณหมอวางแผนชีวิตไว้ว่าจะขอทำงานสัปดาห์ละ 2-3 วันดูแลคนไข้ที่ยังต้องดูแลต่อ และหาคนมาสานต่อโครงการสร้างเสริมสุขภาพ โดยวางเป้าหมายจะใช้ชีวิตสโลว์ดาวน์สัก 2 ปีกับการวิจัยเรื่องปลูกผักอย่างจริงจัง ซึ่งคุณหมอมีบ้านอีกหลังอยู่ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ควบคู่กับการทำงานสังคมซึ่งมีบทบาทอีกด้านทั้งเป็นประธานมูลนิธิสอนคนช่วยชีวิต กรรมการมูลนิธิช่วยผ่าตัดหัวใจเด็ก นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจอยากหันมาส่งเสริมระบบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างจริงจัง และการปรับปรุงระบบการดูแลจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งยังเป็นช่องว่างของระบบการดูแลสุขภาพในเมืองไทย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
'ปฏิบัติการทาร์ซาน' กู้ภัยป่าคอนกรีต
'ปฏิบัติการทาร์ซาน' กู้ภัยป่าคอนกรีต
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, November 14, 2011 06:18
12306 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ภาพ : สกล สนธิรัตน
จากผืนป่า “กรุงชิง” ถึงป่าคอนกรีต “กรุงเทพฯ” สัญชาตญาณนักถอดรหัสป่าแห่ง “เขาหลวง” เชื่อว่าภัยพิบัติธรรมชาติเพิ่งจะแค่เริ่มต้นนับหนึ่งเท่านั้น
“เมื่อต้นปีเราเพิ่งจะหยอกกันว่า ภัยพิบัติครั้งต่อไปจะไปกู้ที่ไหน ผมบอกว่ากรุงเทพฯ เตรียมตัวไว้เลย แล้วน้ำก็มาจริงๆ” นเรศ สุขรินทร์ นักเดินป่าเจ้าของฉายา ทาร์ซานบอย แห่งเขาหลวง เอ่ยให้ฟัง ระหว่างจากบ้านที่”เมืองคอน”นำทีมนักเดินป่าอาสากู้ภัยเดินลุยน้ำเน่า เสี่ยงไฟช็อตไฟรั่วในป่าคอนกรีตมานานร่วมครึ่งเดือน
หนุ่มนักเดินป่าคนนี้ เคยสร้างวีรกรรมแมนๆ โรยตัวโหนเชือกข้ามลำน้ำที่เชี่ยวกราก เดินเท้าปีนป่ายเข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านในหุบเขาซึ่งถูกตัดขาดเมื่อน้ำถล่มพื้นที่ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนกลายมาเป็นภาพนาทีชีวิตในนิทรรศภาพถ่าย”น้ำตา น้ำใต้ น้ำใจ”ที่ช่างภาพอาสากรุงชิงร่วมกับกลุ่มสห+ภาพ หาทุนฟื้นฟูชุมชนที่ได้ผลกระทบ
ก่อนจะสานต่อภารกิจนักเดินป่าอาสากู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ในเดือนสิงหาคม ตามมาด้วยเหตุการณ์มหาอุทกภัยล่าสุดในมหานครเมืองหลวง
“ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการอาสากู้ภัย ตั้งแต่เดือนมีนาคม เจอมาหลายเคสจนหมดเรี่ยวหมดแรง แต่นี่เพิ่งแค่นับหนึ่งนะ ผมคิดว่ารอบของธรรมชาติกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง และธรรมชาติของภัยพิบัติใหญ่ๆ ก็มักจะไม่เกิดซ้ำที่เดิม”
16 ปีของการคลุกคลีอยู่กับป่า นำพานักเดินป่ามากมายไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของผืนป่าเขาหลวง ทาร์ซานบอย เชื่อว่า ทุกครั้งที่จะเกิดเหตุภัยพิบัติ มักจะมีรหัสธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า
บางเรื่องอยู่เหนือเหตุผลจะอธิบาย แต่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณแห่งป่า เช่นที่กรุงชิงเมื่อ 6 ปีก่อน เขาเคยพบความเปลี่ยนแปลงของป่าบนภูเขาแห่งหนึ่ง ไผ่บางชนิดล้มตายพร้อมกันทั้งหุบเขา
“ผมกากบาทในใจ เริ่มนับหนึ่งรอดูว่าในรอบ 10 ปีนี้จะต้องมีภัยธรรมชาติบางอย่างเกิดขึ้น”
ปรากฎการณ์ธรรมชาติบางอย่างที่ผิดเพี้ยน เช่น อากาศหนาว และฝนตกในหน้าร้อน จึงไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ ทุกอย่างล้วนเป็นรหัสธรรมชาติที่กำลังบอกอะไรบางอย่างกับเรา เพียงแต่จะสังเกตกันหรือไม่
ปฏิบัติการ “รวมกันเมื่อภัยมา” ของกลุ่มนักเดินป่าอาสากู้ภัยกลุ่มเล็กๆ จึงก่อตัวขึ้น เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ภารกิจที่ใหญ่โต แค่พยายามนำความสามารถที่มีอยู่มาช่วยเหลือใครสักคนให้คลายความทุกข์ การทำงานไม่ว่าจะช่วยคนหนึ่งคนหรือหมื่นคน ล้วนมีคุณค่าและความหมายไม่น้อยไปกว่ากัน
นักเดินป่าแค่ไม่กี่คน ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีรถ ไม่มีเรือ จะทำอะไรได้บ้าง เป็นข้อจำกัดที่พวกเขาเลือกจะก้าวข้าม เพราะถ้าไม่เริ่มนับหนึ่งก็จะไม่มีทางเริ่มต้น นาทีนี้ใครทำอะไรได้ทำเลย ทำตามกำลังเท่าที่มี ช่วยได้แค่ไหนทำไปก่อน
ลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของทีมนักเดินป่าอาสากู้ภัยเวอร์ชั่นบุกป่าคอนกรีต จึงเริ่มต้นจากคนแค่ 3 คน เงินทุนเพียง 3 พันบาท
เริ่มจากการโบกรถและเดินดุ่มๆ ฝ่าน้ำระยะทางนับสิบกิโลเมตร เข้าไปสำรวจพื้นที่ สภาพปัญหา ความต้องการของผู้ประสบภัยในย่านกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก เริ่มจากโครงการหมู่บ้านพฤกษาในย่านวัดแก้วอินทร์ที่บางใหญ่ ต่อเนื่องไปแถวคลองมหาสวัสดิ์ และพุทธมณฑลสาย 3 โดยตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ ถนนกาญจนาภิเษก
ควบคู่กับการตั้งกลุ่มติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊ค เชื่อมโยงแนวร่วมกับเครือข่ายต่างๆ เช่นกลุ่มสห+ภาพของจิระนันท์ พิตรปรีชา, กลุ่มช่างภาพ Foto For Friends เช่น สกล สนธิรัตน ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่น้ำถล่มกรุงชิง นอกจากนี้ยังมี นิพัทธ์พงษ์ ชวนชื่น เพื่อนเดินป่าเจ้าของเว็บไซต์ trekkingthai.com ,เครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครกู้ภัยอื่นๆ แบ่งหน้าที่กันทำงานทั้งทีมภาคสนามและทีมสนับสนุน
“ถ้าคิดว่าจะช่วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอ อะไรที่ทำได้ทำไปก่อน เพราะภาครัฐก็มีเคสเยอะอยู่แล้ว และมองว่ามีเคสที่เร่งด่วนกว่า บางพื้นที่ที่อยู่ลึกๆ มีหมู่บ้านเยอะๆ จึงอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง ขณะที่ความช่วยเหลือจะมัวรอแต่ระบบหรือเซ็นอนุมัติอย่างเดียวไม่ได้
ในช่วงแรกๆ การทำงานของเราเน้นที่ภารกิจเข้าไปเพื่อสื่อสารมากกว่าช่วยเหลือ เริ่มจากมีแค่ยากับถุงยังชีพเล็กๆ แรกๆ ชาวบ้านบางคนไม่เข้าใจ ทุกคนโมโห โกรธ ไม่สนว่าเราเป็นใคร คิดว่าเรามีหน้าที่ต้องให้อย่างเดียว เคยเอาถุงยังชีพเข้าไป 150 ชุด ชาวบ้านรุมเราว่าเขาไม่ได้ ผมสัญญาว่าจะเอามาให้อีกวันหลัง ผมออกมาควานหาใหม่เอาเข้าไปอีก 600 ชุด...
บางคนเห็นชื่อทีมเราบนเสื้อ สงสัยว่านักเดินป่าเข้ามาทำอะไร ผมบอกเราเป็นแค่คนธรรมดารวมกลุ่มกันเอง เป็นห่วงเลยเข้ามาช่วย ไม่ได้เป็นองค์กรอะไร บางคนก็พูดคุยดี แต่บางคนก็ไม่ค่อยต้อนรับ สิ่งเดียวที่จะทำให้เขายอมรับเรา คือการพูดจริงทำจริง
กฎการทำงานของทีมอาสาเรา คือใครก็ตามรับปากอะไรไว้กับชาวบ้านแล้ว ต้องทำให้ได้ เขาถึงจะให้ความเชื่อใจ”
ใบเบิกทางง่ายๆ ของการทำงานอาสาต่างถิ่น คือ การหยิบยื่นมิตรไมตรีด้วยยาแก้น้ำกัดเท้า ทำงานโดยเจาะเข้าไปประสานงานสร้างเครือข่ายกับคนในพื้นที่ บางที่หากไม่มีผู้นำชุมชน จะขอให้ช่วยกันรวมกลุ่มตั้งตัวแทน เพื่อสะดวกในการติดต่อประสานความช่วยเหลือ
“สไตล์ของเราคือเดินทางเข้าไปเจาะข้อมูล ดูสถานการณ์ในพื้นที่ก่อน ศึกษาเส้นทาง และดูว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร เพื่อกลับมาประสานเอาไปให้ เราเข้าไปหาเขาถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกไปดูว่าอยู่อย่างไร ครั้งที่สองหาสิ่งที่เขาต้องการเอาไปให้ และครั้งที่สามคือดูความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร เราอาจจะทำงานได้น้อยมาก แต่พื้นที่นั้นจะได้ความต้องการครบโดยที่เราไม่ทิ้งเขา”ทาร์ซานหนุ่มเล่าถึงรูปแบบการทำงาน
พร้อมเสริมว่า วันแรกที่ลุยน้ำผจญป่าคอนกรีตทำเอาแทบสลบ เพราะน้ำพัดพาทั้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ มีทั้งสารพิษ ความสกปรกสูง ไม่เหมือนกับน้ำป่าธรรมชาติที่อย่างมากก็สกปรกแค่โคลน
นั่นเป็นความแตกต่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่ลุยน้ำสกปรกเหล่านั้นเข้าไป เราก็อาจไม่รู้เลยว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไร
“ผมมองว่าถ้าเราจะช่วยเขาจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดเรื่องการจะตัดสินใจชีวิตแทนผู้อื่น คุณควรเข้าใไปอยู่ในสภาพเดียวกับเขา เข้าไปเห็นว่าเขาอยู่กันยังไง เจอกับอะไร แล้วค่อยสรุปว่าเขาควรย้ายจากบ้านไปอยู่ศูนย์อพยพ ไม่อย่างนั้นเราอาจเข้าใจผิดในความต้องการ
ผมคิดว่า บางคนยอมตายที่บ้านมากกว่าที่ศูนย์อพยพ เพราะคนเราไม่ได้อยู่แค่การมีชีวิตอย่างเดียว แต่อยู่ด้วยอะไรบางอย่างที่มีความหมายต่อการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นข้าวของ ทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยงหรืออะไรก็ตาม ถ้านั่นคือทั้งชีวิตของเขา ลองถามซิว่าเป็นคุณจะอยากออกจากบ้านคุณมั้ย ถ้าต้องทิ้งทุกอย่างแล้วไปหาเส้นทางใหม่เอาข้างหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตคืออะไร
ผมเคยเจอคุณป้าคนหนึ่งที่ไม่ยอมอพยพ ป้าบอกว่าทั้งชีวิตเขามีแค่บ้านหลังนี้ คงไม่ไปหรอก โอเคงั้นเดี๋ยวเจอกันใหม่ป้า ผมมองว่าหลังจากนั้นป้าอาจจะตาย แต่นั่นเป็นการจากลาที่ดี ดีกว่าผมส่งป้าไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาของเขา”
ทาร์ซานบอยสะท้อนมุมมองว่า ในต่างประเทศ ประชาชนค่อนข้างเชื่อมั่นในระบบเตือนภัยและหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ เมื่อบอกให้อพยพหมายถึงมีระบบรองรับ แต่ประเทศเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับเรื่องนี้ บางทีถ้ารู้ข้อมูลว่าน้ำจะท่วมมิดหัวการตัดสินใจของบางคนอาจจะเปลี่ยนไปคนละแบบ
แต่ถึงต่อให้จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไรก็ควรต้องให้สิทธิผู้ประสบภัยตัดสินใจชีวิตของตัวเอง และถึงแม้ว่าเขาจะร้องขอให้เข้าไปช่วยอพยพภายหลัง อาสาคนเดิมมองว่านั่นถือเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ
นอกเหนือจากอุปสรรคกวนใจเรื่องมลพิษของน้ำ ความแตกต่างของการทำงานของนักเดินป่าในเมืองคือข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกับการลุยป่า
“ถ้าเป็นในป่า เราเดินตัดป่าได้ ข้ามไปได้ทุกที่ แต่ในเมือง เราปืนกำแพงบ้านเขาไม่ได้ ว่ายน้ำผ่านหลังคาบ้านเขาไม่ได้ เราต้องไปตามซอยหมู่บ้านที่มีทั้งอันตรายจากไฟฟ้า อันตรายจากสิ่งที่เราไม่รู้จัก อันตรายจากสารพิษ”
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของทัศนคติและระบบต่างๆ ในสังคมที่ไม่เอื้อกับการทำงานของอาสา การเข้าถึงการสนับสนุนยังต้องอาศัยคอนเนคชั่นเป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่หลายองค์กรหลายมูลนิธิทำงานอาสาในเชิงประชาสัมพันธ์ ในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร ผู้ให้การสนับสนุนบางรายโดยเฉพาะภาคการเมืองยังมีเงื่อนไขว่าเอาของไปแจกแล้วให้บอกด้วยว่ามาจากใคร คราวต่อไปถึงจะช่วยสนับสนุนอีก
“เราเลือกที่จะมองข้ามประเด็นเหล่านั้น เราเปิดรับถุงยังชีพไม่จำกัดค่าย จากใครก็ได้ หากนั่นคือความช่วยเหลือ เป็นสิ่งของและอาหารที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้ สิ่งที่เราสนใจมากกว่าคือการเอาความช่วยเหลือเข้าไปให้ถึงชาวบ้าน”
เขายังสะท้อนมุมมองว่า ที่ผ่านมางานอาสายังขาดการทำงานเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอย่างเป็นระบบ ทำให้บางครั้งการช่วยเหลือซ้ำซ้อนบ้าง ขาดๆเกินๆบ้าง
“ถึงจะเป็นระบบที่แย่ แต่ถ้าเราทำดี พยายามเป็นส่วนดีในระบบที่แย่ ผมว่ามันดีกว่าจะมัวนั่งรอให้ระบบดีก่อนแล้วค่อยลงมือทำ เพราะน้ำกับความเดือดร้อนไม่เคยรอใคร...”
ประเด็นต่อจากนี้ที่อยากมองร่วมกันไปข้างหน้าหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ การปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยของสังคม การสร้างคนให้มีสปิริต มีน้ำใจ มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน มากกว่าการมุ่งไปที่การสร้างสิ่งก่อสร้าง
ประสบการณ์นักเดินป่า มองว่า สิ่งที่คนกรุงกำลังเจอ คือน้ำป่าในเมือง ซึ่งทักษะของคนกรุงเทพฯ ในการดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ หรือช่วยเหลือตัวเองมีน้อยมาก
“ผมเห็นจุดอ่อนของคนที่อยู่กับเทคโนโลยีมากๆ ซึ่งปัญหาใหญ่อาจไม่ใช่ความรุนแรงของภัยพิบัติ แต่คือการปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติอย่างรู้เท่าทัน เอาแค่ขาดไฟฟ้า ประปา ขาดการสื่อสารโทรศัพท์มือถือก็แย่แล้ว
สิ่งที่ต้องยอมรับ คือเราจะต้องอยู่กับน้ำท่วมแบบนี้ แต่อย่าไปกลัวกับสิ่งที่เห็น ตอนนี้ทุกคนกลัวไปหมด การมีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางภัยพิบัติ ต้องมีทักษะในการดำรงชีพ อย่างน้อยก็ควรฝึกการหุงข้าว ต้มน้ำ วิธีทำน้ำสะอาดที่อาจใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเม็ดมะรุม การแพ็คถุงยังชีพส่วนตัวไว้ มีอุปกรณ์ให้แสงสว่าง มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น เชือก ยา ควรจะมีอาหารแห้งอย่างน้อย 1-2 เดือน นี่แหละโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะได้บทเรียนของการใช้ชีวิต ไม่ต้องซ้อมเลย คุณได้เจอของจริงแล้ว” ทาร์ซานบอยให้คำแนะนำ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ทีมกู้ภัยชุดใหม่ที่มีพี่ชายเข้ามานำทีมแทนได้ไม่กีวัน ส่วนตัวเขาขอถอยกลับไปตั้งหลักที่นครศรีธรรมราช ซึ่งยังไม่แน่ว่าภาคใต้จะมีเหตุการณ์ให้ได้ออกแรงกู้ภัยส่งท้ายปีหรือไม่
จากจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มอาสาไม่กี่คน ไม่มีอุปกรณ์ และไม่มีเงิน ถึงวันนี้ กลุ่มนักเดินป่าอาสากู้ภัยขยายเครือข่ายแนวร่วมหลากหลายอาชีพ ทั้งนักเดินป่า และไม่ใช่นักเดินป่า ยังมีผู้หญิงที่เข้ามาลุยอาสาทำงานไม่แพ้ผู้ชาย บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท พนักงานราชการ เว้นวรรคงานประจำมาช่วย แม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้ประสบภัยในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน บางคนอยู่ไกลต่างจังหวัด ลางานมาเป็นอาสาก็มี
ล่าสุด ยังเริ่มขยายภารกิจโดยทำงานร่วมกับทหารมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีหน้าที่กู้ภัยเคสฉุกเฉินเล็ก ๆ ที่ทหารไม่สะดวกเข้าไป เช่น อพยพคนป่วย หรือกู้ชีวิต โดยทหารช่วยสนับสนุนด้านพาหนะ ในพื้นที่ทวีวัฒนา ซึ่งมีนักเดินป่า ทหารและเขต ทำงานร่วมกัน
เป้าหมายหลักของการรวมกลุ่มอาสานักเดินป่ากู้ภัย คือการช่วยเหลือชาวบ้านในภาวะฉุกเฉิน และเป้าหมายในอนาคต คือการดำรงสถานะกลุ่มไว้สำหรับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีฐานทัพส่วนตัวเล็กๆ เป็นกองกลางอุปกรณ์พื้นฐานการกู้ภัย ทาร์ซานบอย บอกอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ว่า
“คอนเซ็ปต์เราเหมือนแบตแมน ถึงเวลาภัยมา ก็รวมตัวกันไปช่วย ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเราคือใคร”
บรรยายใต้ภาพ
ทาร์ซานบอยกำลังช่วยผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เพลงพระราชนิพนธ์...ฉบับภาษาฝรั่งเศส
เพลงพระราชนิพนธ์...ฉบับภาษาฝรั่งเศส
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, March 13, 2009 07:4656170 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ เมื่อโสมส่อง สู่ Serment au Clair de Lune นำมาขับร้องด้วยภาษาฝรั่งเศส ในค่ำคืนของงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศสในประเทศไทย ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ เมื่อไม่นานมานี้ ในคอนเซปต์งานราตรีในชื่อ โสมส่องแสง เพื่อให้สมกับงานรวมพบอดีตนักเรียนฝรั่งเศส ปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของบทเพลงพระราชนิพนธ์ฉบับภาษาฝรั่งเศส โดย เปรมิกา สุจริตกุล เลขาธิการสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศส เป็นผู้ถ่ายทอดเรียบเรียง เบื้องหลัง กว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ครบทั้งสิ้น 27 บทเพลงพระราชนิพนธ์ในภาคภาษาฝรั่งเศส อาทิเช่น เพลง Cocorico!/ใกล้รุ่ง Crpuscuie d'Amour/ยามเย็น Plus Belle la Lune/แสงเดือน Soleil d'Maour/ดวงใจกับความรัก ฯลฯ สาวผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฝรั่งเศสต้องคิดค้นวิธีแปลและเรียบเรียงเนื้อร้องไทยเป็นฝรั่งเศสอยู่นานพักใหญ่ ด้วยการทำความเข้าใจเนื้อเพลงภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง แล้วหลับตาฟังดนตรี ถอดใจใช้จินตนาการสร้างสรรค์เป็นคำพูด... จากคำพูดเป็นคำร้อง ทีละเพลง...ละเพลง นอกจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ภาคภาษาฝรั่งเศส ที่ขับกล่อม ในงานค่ำคืนนั้นยังมีนักร้องกิตติมศักดิ์ อดีตนักเรียนฝรั่งเศสเสียงดี มาร่วมสร้างความบันเทิงใจกันเช่นเคย อาทิเช่น โภคิน พลกุล นายกสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศสคนปัจจุบัน ที่ขึ้นมาโชว์เสียงนุ่มๆ ในเพลง Moonlight swing ท่ามกลางแขกในงาน ที่มาพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งโลรองต์ บิลลี่ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนปัจจุบันที่พูดไทยได้คล่อง ดร.ศรีภูมิ สุขเนตร ผู้ก่อตั้งสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศส ที่มาพร้อมภรรยา-ม.ร.ว.วรรณาภรณ์ และ ลูกชาย ศิรเวท ศุขเนตร, ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์, ดร.โคทม อารียา, สมเถา สุจริตกุล, วรัดดา รัตนิน, ชาลี อมาตยกุล, อติญาณี มัธยมจันทร์ และตรูใจ สดสุ่น ฯลฯ
บรรยายใต้ภาพ โภคิน พลกุล วรัดดา รัตนิน, ศิรเวท ศุขเนตร วรัดดา รัตนิน, ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ และเปรมิกา สุจริตกุล ภารณี จิตรกร ธาริณี บูรณะพิมพ์ อติญาณี มัธยมจันทร์ เปรมิกา สุจริตกุล--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, March 13, 2009 07:4656170 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ เมื่อโสมส่อง สู่ Serment au Clair de Lune นำมาขับร้องด้วยภาษาฝรั่งเศส ในค่ำคืนของงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศสในประเทศไทย ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ เมื่อไม่นานมานี้ ในคอนเซปต์งานราตรีในชื่อ โสมส่องแสง เพื่อให้สมกับงานรวมพบอดีตนักเรียนฝรั่งเศส ปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของบทเพลงพระราชนิพนธ์ฉบับภาษาฝรั่งเศส โดย เปรมิกา สุจริตกุล เลขาธิการสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศส เป็นผู้ถ่ายทอดเรียบเรียง เบื้องหลัง กว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ครบทั้งสิ้น 27 บทเพลงพระราชนิพนธ์ในภาคภาษาฝรั่งเศส อาทิเช่น เพลง Cocorico!/ใกล้รุ่ง Crpuscuie d'Amour/ยามเย็น Plus Belle la Lune/แสงเดือน Soleil d'Maour/ดวงใจกับความรัก ฯลฯ สาวผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฝรั่งเศสต้องคิดค้นวิธีแปลและเรียบเรียงเนื้อร้องไทยเป็นฝรั่งเศสอยู่นานพักใหญ่ ด้วยการทำความเข้าใจเนื้อเพลงภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง แล้วหลับตาฟังดนตรี ถอดใจใช้จินตนาการสร้างสรรค์เป็นคำพูด... จากคำพูดเป็นคำร้อง ทีละเพลง...ละเพลง นอกจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ภาคภาษาฝรั่งเศส ที่ขับกล่อม ในงานค่ำคืนนั้นยังมีนักร้องกิตติมศักดิ์ อดีตนักเรียนฝรั่งเศสเสียงดี มาร่วมสร้างความบันเทิงใจกันเช่นเคย อาทิเช่น โภคิน พลกุล นายกสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศสคนปัจจุบัน ที่ขึ้นมาโชว์เสียงนุ่มๆ ในเพลง Moonlight swing ท่ามกลางแขกในงาน ที่มาพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งโลรองต์ บิลลี่ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนปัจจุบันที่พูดไทยได้คล่อง ดร.ศรีภูมิ สุขเนตร ผู้ก่อตั้งสมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศส ที่มาพร้อมภรรยา-ม.ร.ว.วรรณาภรณ์ และ ลูกชาย ศิรเวท ศุขเนตร, ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์, ดร.โคทม อารียา, สมเถา สุจริตกุล, วรัดดา รัตนิน, ชาลี อมาตยกุล, อติญาณี มัธยมจันทร์ และตรูใจ สดสุ่น ฯลฯ
บรรยายใต้ภาพ โภคิน พลกุล วรัดดา รัตนิน, ศิรเวท ศุขเนตร วรัดดา รัตนิน, ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ และเปรมิกา สุจริตกุล ภารณี จิตรกร ธาริณี บูรณะพิมพ์ อติญาณี มัธยมจันทร์ เปรมิกา สุจริตกุล--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552
วงดนตรีพันล้าน
วงดนตรีพันล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, February 27, 2009 08:1526736 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
"ห้ามพูดเรื่องงาน ! ในนี้ มีแค่ดนตรี" เสียงตะโกนล้อ ดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของห้องซ้อมดนตรี "ปราชญ์มิวสิค" ย่านอาร์ซีเอ เมื่อ "มือเบส" ของวง BTS ต้น-นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา เพิ่งจะฝ่าดงรถติด ในสภาพเหนื่อยซ่ก กรรมการผู้จัดการบริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) โอดครวญว่า ที่มาถึงทีหลัง เพราะ "วันนี้ต้องรีบปิดงบฯ บริษัท ส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยุ่งทั้งวัน" ต่างคนในวง ต่างเข้าใจหัวอก "เดียวกัน" เพราะชีวิตประจำวันของนักดนตรีวงนี้ เป็นซีอีโอ ที่งานยุ่ง นั่งหัวโต๊ะบริหารธุรกิจที่มีขนาดรายได้ ตั้งแต่หลายร้อยล้าน ไปจนถึงหลักพันล้านบาท นอกจากผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมนวนครอย่าง ต้น-นิพิฐ ยังมีตำแหน่ง มือกีตาร์ บอย-อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู (แอล-พี) จำกัด. สาน-ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจเม็ททอล จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจสเตนเลส หุ้น LHK ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พ่วงด้วยสมาชิก "มือคีย์บอร์ด" ของวง หมอท็อป-น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนั้นยังติดประชุมอยู่ที่ทำเนียบปลีกตัวมาซ้อมไม่ได้ ถึงจะแบกรับความรับผิดชอบบนบ่ากันมากมายขนาดไหน แต่ถ้าใครได้เห็นสีหน้าของพวกเขา ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น และทุกคนเฮ้วสนุกสุดเหวี่ยงไปกับเครื่องดนตรีคู่ใจ พลอยสัมผัสได้ถึงความสุข และรอยยิ้มที่เกิดขึ้นในห้องซ้อมดนตรีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทุกๆ บ่ายวันเสาร์ ที่สมาชิกในวงจะขอไฟเขียวจากภรรยา และลูกๆ มาเล่นดนตรีด้วยกัน เป็นอย่างนี้ติดต่อกัน 4 ปี มาแล้ว และยิ่งซ้อมหนักเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมขึ้นเวทีใหญ่ เป็น "วงน้องใหม่" ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่มีวงดนตรีคนดัง หลากหลายวงการ หัวใจรักดนตรี มาขึ้นเวทีประชันกัน 3 วันติดต่อกัน สุดสัปดาห์นี้ ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม "เวลาที่ได้เล่นดนตรีด้วยกัน มันมีปีติจริงๆ มีความสุข เหมือนโลกทั้งโลกเป็นของเรา เหมือนคนชอบร้องเพลง เพื่อนจะสะกิดยังไงก็ไม่ยอมลง" ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ เริ่มต้นคุยอย่างเฮฮา บอย-อนุรุธ ว่องวานิช อยู่ข้างๆ ส่งเสียง "ใช่ๆๆ" ประกอบ ก่อนจะเสริมว่า "คนเราพออายุมากขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น บางครั้งช่วงเวลาสนุกในชีวิตจะหายไป แต่ความเครียดจะมีอยู่ตลอด เวลาที่ได้เล่นเพลงที่เราชอบ มันเหมือนกับได้ระบาย" ไม่อย่างนั้น กีตาร์สารพัดรุ่นคุณภาพเสียงชั้นเยี่ยม ที่แต่ละคนอุตส่าห์ซื้อหามาสะสมไว้นับสิบตัว กีตาร์บางตัวลงทุนหิ้วมาจากเมืองนอก คงได้แต่นอนนิ่งๆ เหงาๆ อยู่ที่บ้าน "ชีวิตนักธุรกิจงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้าปลีกตัวมาเล่นดนตรีได้ นั่นก็คือแบ่งเวลาได้ บริหารชีวิตเป็น...เป็นวิธีที่เราจะชนะตัวเอง" ประสาน ให้แง่คิด ดูจากภาพลักษณ์ผู้บริหารเต็มตัว ของสมาชิกแต่ละคนในวง BTS (ย่อมาจากชื่อเล่น บอย-ต้น-สาน) ตี๋ๆ ใส่แว่นตา ดูเรียบร้อย ท่าทางเอาจริงเอาจัง ยิ่งภาพที่ใครๆ มอง บอย อนุรุธ ในตำแหน่งนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยด้วยแล้ว แทบคาดไม่ถึงว่าวง BTS ของพวกเขา จะเล่นเพลงแนวร็อค และไม่ใช่ร็อคธรรมดา แต่เป็น Heavy Metal Rock !!! เสียด้วย "อย่าดูกันที่ภายนอก ว่าชอบร็อคต้องออกแนวฮาร์เล่ย์ ฮิปปี้ เป็นนักธุรกิจอย่างพวกผม ชอบร็อคกันก็เยอะ เพียงแต่เราไม่ได้แสดงออกในแนวนั้น แต่ถ้าเพลงดังขึ้นเมื่อไหร่ ลุกขึ้นนั่นแหละ" ถึงตรงนี้ ประสาน ปล่อยมุกฮาลั่น จริงๆ มีเสื้อหนัง กับโซ่ เหมือนกัน แต่ไม่กล้าโชว์ เป็นอีกมุมความสุขที่ซุกซ่อน เพราะยังอินสุดๆ กับอารมณ์เพลงในยุค 70 ย้อนอดีตไปเมื่อ 30 ปีโน้น สมัย บอย ยังนุ่งยีนส์สุดเก๋า สะพายกีตาร์ สนุกสุดเหวี่ยงอยู่ในวงร็อคแอนด์โรค ที่ไฮสคูลในฮาวาย ส่วนประสาน เฮ้วกับเพื่อนในวง ที่โรงเรียนเซเว่นเดย์ บ่ายสามโมง ต้องมีปาร์ตี้ Tea Dance จ่ายค่าบัตร 60 บาท เต้นกันมันระเบิด ส่วน ต้น-นิพิฐ ถึงจะรุ่นถัดลงมาหน่อย แต่เพราะเล่นดนตรีได้หลากหลายแนว ตั้งแต่เรียน ร.ร.สาธิตฯ และคณะสถาปัตย์จุฬาฯ พอทั้ง 3 คน บอย ต้น สาน คอดนตรีแนวเดียวกัน มาโคจรเจอกันในสมาคม YPO (Young Presidents Organization) ประเทศไทย แหล่งชุมนุมนักธุรกิจรุ่นใหม่ นับแต่นั้นทั้งสามคน เลย "นับญาติ" เป็นเพื่อนซี้ ชวนกันตั้งวง BTS ซึ่งไม่ใช่แค่มาซ้อมกันทุกสัปดาห์ แต่เอาจริงเอาจัง ถึงขึ้นเปิดคอนเสิร์ตกันมาแล้ว 3 ครั้ง เริ่มจากปาร์ตี้เล็กๆ งานวันเกิด อีกครั้งหนึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศล ระดมเงินจากเพื่อนฝูงญาติมิตร 5 แสนบาท ไปช่วยสร้างโรงเรียนเด็กกำพร้าที่ภาคใต้ ครั้งล่าสุด ปีที่แล้ว เพิ่งปิดโรงแรมสยาม @ สยาม โชว์ในงานสังสรรค์สมาชิกนักธุรกิจใน YPO หาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยวัดพระพุทธบาทน้ำพุ "ถ้าซ้อมกันเล่นๆ อย่างเดียว ก็คงไปได้ไม่ถึงไหน แต่การมีคอนเสิร์ต ทำให้มีแรงผลักดันว่าจะต้องเล่นให้ได้ดีที่สุด เราพยายามเล่นดนตรีให้มีความสุขที่สุด และทำอะไรเพื่อสังคมด้วย" ประสาน เล่า ประสบการณ์ที่มากขึ้น ทำให้เริ่มจูนเพลงที่เล่นโชว์ เพื่อให้คนฟังได้มีความสุขกับเสียงเพลงด้วย "เพลงแนวนี้ มันต้องคนชอบจริงๆ นะ ถึงจะฟังได้ ไม่งั้นหนวกหู ทนไม่ไหวเดินหนีเลย แต่ขึ้นเวทีที่เอ็มโพเรี่ยม เกรงใจกระจกหลายบานในนั้น เลยปรับแนวเพลงเป็นแนวป๊อป น่ารักๆ ฟังสบาย" ประสาน หยอกว่า เอาเป็นว่า ผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อของต้น (ดร.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา) ฟังแล้วไม่ลุกหนีกลับบ้าน ลูกค้าที่มาเดินในเอ็มโพเรี่ยม ไม่เดินหนีหาย เพราะงานนี้ศิลปินทั้งวง ทุ่มเทและตั้งใจจริงๆ อยากขึ้นเวทีมอบความสุขให้กับทุกๆ คน ร่วมสนุกสนานกับเสียงดนตรีของพวกเขา และยังมีเสียงร้องเพราะๆ ของ ปริญญา ธรรมวัฒนะ ที่จะมาโชว์ลีลาเป็นนักร้องรับเชิญ กันได้ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม หกโมงเย็น วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้
บรรยายใต้ภาพ 4 นักดนตรีหลักๆ ของวง มีโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ความสุขที่ไม่ขึ้นกับ "ตัวเลขทางการเงิน" ของ สมาชิกวง BTS บอย-อนุรุธ ว่องวานิช, ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ และ นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Friday, February 27, 2009 08:1526736 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
"ห้ามพูดเรื่องงาน ! ในนี้ มีแค่ดนตรี" เสียงตะโกนล้อ ดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของห้องซ้อมดนตรี "ปราชญ์มิวสิค" ย่านอาร์ซีเอ เมื่อ "มือเบส" ของวง BTS ต้น-นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา เพิ่งจะฝ่าดงรถติด ในสภาพเหนื่อยซ่ก กรรมการผู้จัดการบริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) โอดครวญว่า ที่มาถึงทีหลัง เพราะ "วันนี้ต้องรีบปิดงบฯ บริษัท ส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยุ่งทั้งวัน" ต่างคนในวง ต่างเข้าใจหัวอก "เดียวกัน" เพราะชีวิตประจำวันของนักดนตรีวงนี้ เป็นซีอีโอ ที่งานยุ่ง นั่งหัวโต๊ะบริหารธุรกิจที่มีขนาดรายได้ ตั้งแต่หลายร้อยล้าน ไปจนถึงหลักพันล้านบาท นอกจากผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมนวนครอย่าง ต้น-นิพิฐ ยังมีตำแหน่ง มือกีตาร์ บอย-อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู (แอล-พี) จำกัด. สาน-ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจเม็ททอล จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจสเตนเลส หุ้น LHK ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พ่วงด้วยสมาชิก "มือคีย์บอร์ด" ของวง หมอท็อป-น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนั้นยังติดประชุมอยู่ที่ทำเนียบปลีกตัวมาซ้อมไม่ได้ ถึงจะแบกรับความรับผิดชอบบนบ่ากันมากมายขนาดไหน แต่ถ้าใครได้เห็นสีหน้าของพวกเขา ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น และทุกคนเฮ้วสนุกสุดเหวี่ยงไปกับเครื่องดนตรีคู่ใจ พลอยสัมผัสได้ถึงความสุข และรอยยิ้มที่เกิดขึ้นในห้องซ้อมดนตรีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทุกๆ บ่ายวันเสาร์ ที่สมาชิกในวงจะขอไฟเขียวจากภรรยา และลูกๆ มาเล่นดนตรีด้วยกัน เป็นอย่างนี้ติดต่อกัน 4 ปี มาแล้ว และยิ่งซ้อมหนักเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมขึ้นเวทีใหญ่ เป็น "วงน้องใหม่" ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่มีวงดนตรีคนดัง หลากหลายวงการ หัวใจรักดนตรี มาขึ้นเวทีประชันกัน 3 วันติดต่อกัน สุดสัปดาห์นี้ ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม "เวลาที่ได้เล่นดนตรีด้วยกัน มันมีปีติจริงๆ มีความสุข เหมือนโลกทั้งโลกเป็นของเรา เหมือนคนชอบร้องเพลง เพื่อนจะสะกิดยังไงก็ไม่ยอมลง" ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ เริ่มต้นคุยอย่างเฮฮา บอย-อนุรุธ ว่องวานิช อยู่ข้างๆ ส่งเสียง "ใช่ๆๆ" ประกอบ ก่อนจะเสริมว่า "คนเราพออายุมากขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น บางครั้งช่วงเวลาสนุกในชีวิตจะหายไป แต่ความเครียดจะมีอยู่ตลอด เวลาที่ได้เล่นเพลงที่เราชอบ มันเหมือนกับได้ระบาย" ไม่อย่างนั้น กีตาร์สารพัดรุ่นคุณภาพเสียงชั้นเยี่ยม ที่แต่ละคนอุตส่าห์ซื้อหามาสะสมไว้นับสิบตัว กีตาร์บางตัวลงทุนหิ้วมาจากเมืองนอก คงได้แต่นอนนิ่งๆ เหงาๆ อยู่ที่บ้าน "ชีวิตนักธุรกิจงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้าปลีกตัวมาเล่นดนตรีได้ นั่นก็คือแบ่งเวลาได้ บริหารชีวิตเป็น...เป็นวิธีที่เราจะชนะตัวเอง" ประสาน ให้แง่คิด ดูจากภาพลักษณ์ผู้บริหารเต็มตัว ของสมาชิกแต่ละคนในวง BTS (ย่อมาจากชื่อเล่น บอย-ต้น-สาน) ตี๋ๆ ใส่แว่นตา ดูเรียบร้อย ท่าทางเอาจริงเอาจัง ยิ่งภาพที่ใครๆ มอง บอย อนุรุธ ในตำแหน่งนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยด้วยแล้ว แทบคาดไม่ถึงว่าวง BTS ของพวกเขา จะเล่นเพลงแนวร็อค และไม่ใช่ร็อคธรรมดา แต่เป็น Heavy Metal Rock !!! เสียด้วย "อย่าดูกันที่ภายนอก ว่าชอบร็อคต้องออกแนวฮาร์เล่ย์ ฮิปปี้ เป็นนักธุรกิจอย่างพวกผม ชอบร็อคกันก็เยอะ เพียงแต่เราไม่ได้แสดงออกในแนวนั้น แต่ถ้าเพลงดังขึ้นเมื่อไหร่ ลุกขึ้นนั่นแหละ" ถึงตรงนี้ ประสาน ปล่อยมุกฮาลั่น จริงๆ มีเสื้อหนัง กับโซ่ เหมือนกัน แต่ไม่กล้าโชว์ เป็นอีกมุมความสุขที่ซุกซ่อน เพราะยังอินสุดๆ กับอารมณ์เพลงในยุค 70 ย้อนอดีตไปเมื่อ 30 ปีโน้น สมัย บอย ยังนุ่งยีนส์สุดเก๋า สะพายกีตาร์ สนุกสุดเหวี่ยงอยู่ในวงร็อคแอนด์โรค ที่ไฮสคูลในฮาวาย ส่วนประสาน เฮ้วกับเพื่อนในวง ที่โรงเรียนเซเว่นเดย์ บ่ายสามโมง ต้องมีปาร์ตี้ Tea Dance จ่ายค่าบัตร 60 บาท เต้นกันมันระเบิด ส่วน ต้น-นิพิฐ ถึงจะรุ่นถัดลงมาหน่อย แต่เพราะเล่นดนตรีได้หลากหลายแนว ตั้งแต่เรียน ร.ร.สาธิตฯ และคณะสถาปัตย์จุฬาฯ พอทั้ง 3 คน บอย ต้น สาน คอดนตรีแนวเดียวกัน มาโคจรเจอกันในสมาคม YPO (Young Presidents Organization) ประเทศไทย แหล่งชุมนุมนักธุรกิจรุ่นใหม่ นับแต่นั้นทั้งสามคน เลย "นับญาติ" เป็นเพื่อนซี้ ชวนกันตั้งวง BTS ซึ่งไม่ใช่แค่มาซ้อมกันทุกสัปดาห์ แต่เอาจริงเอาจัง ถึงขึ้นเปิดคอนเสิร์ตกันมาแล้ว 3 ครั้ง เริ่มจากปาร์ตี้เล็กๆ งานวันเกิด อีกครั้งหนึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศล ระดมเงินจากเพื่อนฝูงญาติมิตร 5 แสนบาท ไปช่วยสร้างโรงเรียนเด็กกำพร้าที่ภาคใต้ ครั้งล่าสุด ปีที่แล้ว เพิ่งปิดโรงแรมสยาม @ สยาม โชว์ในงานสังสรรค์สมาชิกนักธุรกิจใน YPO หาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยวัดพระพุทธบาทน้ำพุ "ถ้าซ้อมกันเล่นๆ อย่างเดียว ก็คงไปได้ไม่ถึงไหน แต่การมีคอนเสิร์ต ทำให้มีแรงผลักดันว่าจะต้องเล่นให้ได้ดีที่สุด เราพยายามเล่นดนตรีให้มีความสุขที่สุด และทำอะไรเพื่อสังคมด้วย" ประสาน เล่า ประสบการณ์ที่มากขึ้น ทำให้เริ่มจูนเพลงที่เล่นโชว์ เพื่อให้คนฟังได้มีความสุขกับเสียงเพลงด้วย "เพลงแนวนี้ มันต้องคนชอบจริงๆ นะ ถึงจะฟังได้ ไม่งั้นหนวกหู ทนไม่ไหวเดินหนีเลย แต่ขึ้นเวทีที่เอ็มโพเรี่ยม เกรงใจกระจกหลายบานในนั้น เลยปรับแนวเพลงเป็นแนวป๊อป น่ารักๆ ฟังสบาย" ประสาน หยอกว่า เอาเป็นว่า ผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อของต้น (ดร.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา) ฟังแล้วไม่ลุกหนีกลับบ้าน ลูกค้าที่มาเดินในเอ็มโพเรี่ยม ไม่เดินหนีหาย เพราะงานนี้ศิลปินทั้งวง ทุ่มเทและตั้งใจจริงๆ อยากขึ้นเวทีมอบความสุขให้กับทุกๆ คน ร่วมสนุกสนานกับเสียงดนตรีของพวกเขา และยังมีเสียงร้องเพราะๆ ของ ปริญญา ธรรมวัฒนะ ที่จะมาโชว์ลีลาเป็นนักร้องรับเชิญ กันได้ในงานเทศกาลดนตรี Emporium Music Festival No.10 ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม หกโมงเย็น วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้
บรรยายใต้ภาพ 4 นักดนตรีหลักๆ ของวง มีโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ความสุขที่ไม่ขึ้นกับ "ตัวเลขทางการเงิน" ของ สมาชิกวง BTS บอย-อนุรุธ ว่องวานิช, ประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ และ นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ฉลอง 40 ปี โครงการหลวง
ฉลอง 40 ปี โครงการหลวง
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, February 24, 2009 06:2932716 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
สัมผัสบรรยากาศกาดดอย และผลิตผลจากสถานีเกษตรโครงการหลวง มาไว้ที่กลางกรุงอย่างตระการตา ในงาน "40 ปี โครงการหลวง 4 ทศวรรษ ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก" เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติฉลองครบรอบ 40 ปีโครงการหลวงซึ่งเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2512 โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานพร้อมทอดพระเนตรภายในงาน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งมีทั้งนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดจำหน่ายสินค้าและผลิตผลของโครงการหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา งานนี้ ยังมีไฮไลท์ในค่ำคืนจัดงานวันแรก ที่ลักขณา นะวิโรจน์ ผู้บริหารสยามพารากอน หัวเรือใหญ่ของงาน ขอจำลองบรรยากาศ "กาดดอย" สไตล์ล้านนามาไว้ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์" เชิญแขกผู้มีเกียรติจากหลายแวดวง มาร่วมลิ้มรส การันตีความสดอร่อยของสุดยอดเมนูอาหารจาก 38 ดอยในโครงการหลวง อาทิ เห็ดน้ำแดงจากโครงการหลวงม่อนเงาะ ยำใบเมี่ยง จากโครงการหลวงตีนตกฯลฯ โดยเฉพาะเมนูยอดนิยม อย่างเมี่ยงปลาเทราท์ จากดอยอินทนนท์ ที่หอมกรุ่น กลิ่นปลาเทราท์รมควัน แกล้มผักสดๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด บรรยากาศคึกคักสมกับกาดดอยจำลอง เพราะแขกในงานเดินสวนสนาม เลือกชิมอาหารที่มาออกร้านกันอย่างเพลิดเพลิน เจริญอาหารกันยกใหญ่ ส่วนแขกวีไอพี ที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ประพิมพร สิริวัฒนภักดี หลังบ้านคนสวย ออกงานเดี่ยวแทนสามี ฐาปน สิริวัฒนภักดี งานนี้สะใภ้เบียร์ช้าง เอนจอยเมนูเห็ดทุกชนิดบนโต๊ะ ดูจะถูกใจเป็นพิเศษ กับอาหารที่เสิร์ฟเรียบง่ายในกระทงใบตองแห้ง ช่วยลดโลกร้อน ส่วนหนุ่ม ป้อง-สาระ ล่ำซำ จาก "เมืองไทยประกันชีวิต" มาเดี่ยวเหมือนกัน แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ เมนูไข่เจียวทอดเครื่องกระเทียมญี่ปุ่น จะอร่อยถูกปาก ถูกใจกันแค่ไหน หาโอกาสไปลิ้มลอง และเดินเที่ยวชมกันได้ งาน 40 ปีโครงการหลวง จัดที่ศูนย์การค้าสยามพาราถึงวันที่ 1 มีนาคม นี้
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทอดพระเนตรภายในงาน ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ตุงคนาค, ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี และม.จ.ภีศเดช รัชนี สาระ ล่ำซำ ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, February 24, 2009 06:2932716 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
สัมผัสบรรยากาศกาดดอย และผลิตผลจากสถานีเกษตรโครงการหลวง มาไว้ที่กลางกรุงอย่างตระการตา ในงาน "40 ปี โครงการหลวง 4 ทศวรรษ ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก" เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติฉลองครบรอบ 40 ปีโครงการหลวงซึ่งเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2512 โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานพร้อมทอดพระเนตรภายในงาน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งมีทั้งนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดจำหน่ายสินค้าและผลิตผลของโครงการหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา งานนี้ ยังมีไฮไลท์ในค่ำคืนจัดงานวันแรก ที่ลักขณา นะวิโรจน์ ผู้บริหารสยามพารากอน หัวเรือใหญ่ของงาน ขอจำลองบรรยากาศ "กาดดอย" สไตล์ล้านนามาไว้ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์" เชิญแขกผู้มีเกียรติจากหลายแวดวง มาร่วมลิ้มรส การันตีความสดอร่อยของสุดยอดเมนูอาหารจาก 38 ดอยในโครงการหลวง อาทิ เห็ดน้ำแดงจากโครงการหลวงม่อนเงาะ ยำใบเมี่ยง จากโครงการหลวงตีนตกฯลฯ โดยเฉพาะเมนูยอดนิยม อย่างเมี่ยงปลาเทราท์ จากดอยอินทนนท์ ที่หอมกรุ่น กลิ่นปลาเทราท์รมควัน แกล้มผักสดๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด บรรยากาศคึกคักสมกับกาดดอยจำลอง เพราะแขกในงานเดินสวนสนาม เลือกชิมอาหารที่มาออกร้านกันอย่างเพลิดเพลิน เจริญอาหารกันยกใหญ่ ส่วนแขกวีไอพี ที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ประพิมพร สิริวัฒนภักดี หลังบ้านคนสวย ออกงานเดี่ยวแทนสามี ฐาปน สิริวัฒนภักดี งานนี้สะใภ้เบียร์ช้าง เอนจอยเมนูเห็ดทุกชนิดบนโต๊ะ ดูจะถูกใจเป็นพิเศษ กับอาหารที่เสิร์ฟเรียบง่ายในกระทงใบตองแห้ง ช่วยลดโลกร้อน ส่วนหนุ่ม ป้อง-สาระ ล่ำซำ จาก "เมืองไทยประกันชีวิต" มาเดี่ยวเหมือนกัน แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ เมนูไข่เจียวทอดเครื่องกระเทียมญี่ปุ่น จะอร่อยถูกปาก ถูกใจกันแค่ไหน หาโอกาสไปลิ้มลอง และเดินเที่ยวชมกันได้ งาน 40 ปีโครงการหลวง จัดที่ศูนย์การค้าสยามพาราถึงวันที่ 1 มีนาคม นี้
บรรยายใต้ภาพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทอดพระเนตรภายในงาน ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ตุงคนาค, ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี และม.จ.ภีศเดช รัชนี สาระ ล่ำซำ ในงาน "กาดดอย กาล่า ไนท์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สัมผัสมนต์ขลังแห่ง "กุ้ยหลิน"
คอลัมน์: TravelFocus: สัมผัสมนต์ขลังแห่ง "กุ้ยหลิน"Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Saturday, February 21, 2009 13:1946658 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณ์แสง
ปีแล้วปีเล่าที่ภาพเงาสะท้อนของขุนเขาบนสายน้ำ งดงามราวกับภาพวาดในจินตนาการ เป็นมโนภาพที่ผุดพรายขึ้นมาในใจชาวเราและชาวโลก เมื่อเอ่ยถึง "กุ้ยหลิน" แต่แทนที่จะเบื่อ ภาพธรรมชาติที่ตระการตาเหล่านี้ กลับเป็นเสน่ห์ที่คงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย แถมยิ่งเย้ายวน ให้ผู้คนทั่วโลกอยากไปเยือนสถานที่จริงให้เห็นกับตาดูสักครั้งในยุคที่อะไรๆ บนโลกใบนี้ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้น ในวันพักผ่อนที่ใครหลายคนอยากเลือกหมุนชีวิตให้ช้าลงเปลี่ยนบรรยากาศมาสูดอากาศดีๆ ที่กุ้ยหลิน นั่งล่องเรือ ปล่อยใจ ชมความงามของลำน้ำหลีเจียง ที่ไหลเอื่อยๆ ลัดเลาะไปตามขุนเขาใหญ่น้อย สารพัดรูปร่าง ชวนให้สนุกกับการจินตนาการไปตามคำชี้ชวนของไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเมื่อเรือแล่นผ่านภูเขารูปร่างแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น ผาม้า 9 ตัว, เขาแอปเปิล, เขาหอยทาก, ถ้ำมงกุฏ และอื่นๆ อีกมากมาย สุดแต่จะจินตนาการ เรือท่องเที่ยวจะล่องมาขึ้นบกที่หยางชั่ว เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ริมแม่น้ำหลีเจียง เหมาะกับการขี่จักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิต ผู้คน ตลาด ร้านค้า ที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว ย่ำค่ำตะวันตกดิน ที่นี่ยังมีโชว์แสงสีเสียงสุดตระการตาบนแม่น้ำที่ จางอี้โหมว ผู้กำกับหนังชื่อดัง มาเสกภูเขาให้เป็นเงินที่นี่โดยใช้ทิวทัศน์ธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่บนผืนน้ำพร้อมฉากหลังของขุนเขา ให้กลายเป็นโรงละครธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในโชว์ชุดที่ชื่อ The Impression of Liu Sanjie ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านชาวจ้วง "หลิวซานเจี่ย" ไม่ไกลจากหมู่บ้านหยางชั่วยังมีแหล่งท่องเที่ยว Unseen เพิ่งเปิดใหม่ อย่างเช่น ถ้ำดอกบัวให้ได้ตะลึงกับความงดงามจากปรากฏการณ์ธรรมชาติของหินงอกหินย้อย ที่เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ คล้ายดอกบัวบานสะพรั่งเรียงรายกันอยู่บนธารน้ำในโพรงถ้ำมากถึง 108 ดอก นอกจากเป็นเมืองแห่งขุนเขา และสายน้ำแล้ว กุ้ยหลินยังมีชื่อเสียงในความมหัศจรรย์ของถ้ำที่แปลกและงดงาม โดยเฉพาะถ้ำขลุ่ยอ้อ ที่ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่งดงาม ส่วนที่เที่ยวในตัวเมืองกุ้ยหลิน มีกิจกรรมท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกันทั้งกลางวัน และกลางคืน มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสัญลักษณ์ของเมือง อย่าง เขางวงช้าง ที่แลเห็นภูเขาหินรูปช้างกำลังโน้มงวงกินน้ำอยู่ในแม่น้ำหลีเจียง ที่นี่นักท่องเที่ยวมาโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันคึกคักทุกวัน ในตัวเมืองกุ้ยหลิน ยังมีเยาฝูโลว ที่เรียกกันว่า เป็น "เขาสลายคลื่น" ซึ่งมีทั้งถ้ำคืนไข่มุก ที่เคยเชื่อกันว่าในอดีตมีมังกรอาศัยอยู่ ถัดไปไม่ไกลนักยังมีสวนเจ็ดดาว ที่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยกลิน มีทางเดินชมธรรมชาติ สวนสัตว์ หมีแพนด้า และภูเขารูปอูฐ ถ้ายังไม่จุใจ อยากขึ้นกระเช้าลอยฟ้า สูดอากาศและทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน แบบภาพพาโนรามาในมุมสูง มีจุดชมวิวที่น่าสนใจ บนเขาเหยาซาน มุมสูงที่แลเห็นขุนเขานับร้อยลูกรวมกันเป็นหนึ่ง จนแยกไม่ออกว่า "เมืองอยู่ในเขา" หรือ "ภูเขาอยู่ในเมือง" ก่อนจะเปลี่ยนบรรยากาศยามค่ำคืน มาล่องเรือชมทิวทัศน์บนเส้นทาง 4 ทะเลสาบ 2 แม่น้ำ ใจกลางเมืองกุ้ยหลิน ที่เรือจะเลาะลอดใต้สะพานที่สวยงาม หลากหลายรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งแบบโบราณและร่วมสมัย พถร้อมแสงสีไฟประดับประดาเจดีย์เงิน เจดีย์ทอง ที่สว่างไสวยามค่ำคืน ในอดีตกุ้ยหลินเป็นจุดหมายปลายทางของกวี ศิลปินและจิตรกรชื่อดัง ที่มาค้นหาแรงบันดาลและสร้างสรรค์ผลงานที่นี่ จนกระทั่งถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า จิตรกรใดที่ยังไม่เคยมาเมืองกุ้ยหลิน จะไม่สามารถวาดรูปขุนเขาให้สวยงามได้เลย ข้ามผ่านยุคสมัย เสน่ห์ของกุ้ยหลิน ยังตราตรึงผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาสัมผัสคำร่ำลือของสถานที่ท่องเที่ยว ที่ชาวจีนยกย่องให้เป็น "ซื่อไหว้เถาหยวน" หรือ "เมืองสวรรค์บนพิภพ" รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่หลั่งไหลไปเที่ยวที่นี่ จนเป็นที่คุ้นเคยของพ่อค้าแม่ค้าในย่านชอปปิง โดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่บินตรงสู่กุ้ยหลินสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ทุกวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ สำหรับช่วงนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2552 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพ-กุ้ยหลิน เริ่มต้นที่คนละ 8,600 บาท สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซด์ที่ www.bangkokair.com--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Saturday, February 21, 2009 13:1946658 XTHAI XGEN XETHIC XENT IKEY V%NETNEWS P%WKT
ดุลยปวีณ กรณ์แสง
ปีแล้วปีเล่าที่ภาพเงาสะท้อนของขุนเขาบนสายน้ำ งดงามราวกับภาพวาดในจินตนาการ เป็นมโนภาพที่ผุดพรายขึ้นมาในใจชาวเราและชาวโลก เมื่อเอ่ยถึง "กุ้ยหลิน" แต่แทนที่จะเบื่อ ภาพธรรมชาติที่ตระการตาเหล่านี้ กลับเป็นเสน่ห์ที่คงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย แถมยิ่งเย้ายวน ให้ผู้คนทั่วโลกอยากไปเยือนสถานที่จริงให้เห็นกับตาดูสักครั้งในยุคที่อะไรๆ บนโลกใบนี้ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้น ในวันพักผ่อนที่ใครหลายคนอยากเลือกหมุนชีวิตให้ช้าลงเปลี่ยนบรรยากาศมาสูดอากาศดีๆ ที่กุ้ยหลิน นั่งล่องเรือ ปล่อยใจ ชมความงามของลำน้ำหลีเจียง ที่ไหลเอื่อยๆ ลัดเลาะไปตามขุนเขาใหญ่น้อย สารพัดรูปร่าง ชวนให้สนุกกับการจินตนาการไปตามคำชี้ชวนของไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเมื่อเรือแล่นผ่านภูเขารูปร่างแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น ผาม้า 9 ตัว, เขาแอปเปิล, เขาหอยทาก, ถ้ำมงกุฏ และอื่นๆ อีกมากมาย สุดแต่จะจินตนาการ เรือท่องเที่ยวจะล่องมาขึ้นบกที่หยางชั่ว เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ริมแม่น้ำหลีเจียง เหมาะกับการขี่จักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิต ผู้คน ตลาด ร้านค้า ที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว ย่ำค่ำตะวันตกดิน ที่นี่ยังมีโชว์แสงสีเสียงสุดตระการตาบนแม่น้ำที่ จางอี้โหมว ผู้กำกับหนังชื่อดัง มาเสกภูเขาให้เป็นเงินที่นี่โดยใช้ทิวทัศน์ธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่บนผืนน้ำพร้อมฉากหลังของขุนเขา ให้กลายเป็นโรงละครธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในโชว์ชุดที่ชื่อ The Impression of Liu Sanjie ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านชาวจ้วง "หลิวซานเจี่ย" ไม่ไกลจากหมู่บ้านหยางชั่วยังมีแหล่งท่องเที่ยว Unseen เพิ่งเปิดใหม่ อย่างเช่น ถ้ำดอกบัวให้ได้ตะลึงกับความงดงามจากปรากฏการณ์ธรรมชาติของหินงอกหินย้อย ที่เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ คล้ายดอกบัวบานสะพรั่งเรียงรายกันอยู่บนธารน้ำในโพรงถ้ำมากถึง 108 ดอก นอกจากเป็นเมืองแห่งขุนเขา และสายน้ำแล้ว กุ้ยหลินยังมีชื่อเสียงในความมหัศจรรย์ของถ้ำที่แปลกและงดงาม โดยเฉพาะถ้ำขลุ่ยอ้อ ที่ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่งดงาม ส่วนที่เที่ยวในตัวเมืองกุ้ยหลิน มีกิจกรรมท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกันทั้งกลางวัน และกลางคืน มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสัญลักษณ์ของเมือง อย่าง เขางวงช้าง ที่แลเห็นภูเขาหินรูปช้างกำลังโน้มงวงกินน้ำอยู่ในแม่น้ำหลีเจียง ที่นี่นักท่องเที่ยวมาโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันคึกคักทุกวัน ในตัวเมืองกุ้ยหลิน ยังมีเยาฝูโลว ที่เรียกกันว่า เป็น "เขาสลายคลื่น" ซึ่งมีทั้งถ้ำคืนไข่มุก ที่เคยเชื่อกันว่าในอดีตมีมังกรอาศัยอยู่ ถัดไปไม่ไกลนักยังมีสวนเจ็ดดาว ที่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยกลิน มีทางเดินชมธรรมชาติ สวนสัตว์ หมีแพนด้า และภูเขารูปอูฐ ถ้ายังไม่จุใจ อยากขึ้นกระเช้าลอยฟ้า สูดอากาศและทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน แบบภาพพาโนรามาในมุมสูง มีจุดชมวิวที่น่าสนใจ บนเขาเหยาซาน มุมสูงที่แลเห็นขุนเขานับร้อยลูกรวมกันเป็นหนึ่ง จนแยกไม่ออกว่า "เมืองอยู่ในเขา" หรือ "ภูเขาอยู่ในเมือง" ก่อนจะเปลี่ยนบรรยากาศยามค่ำคืน มาล่องเรือชมทิวทัศน์บนเส้นทาง 4 ทะเลสาบ 2 แม่น้ำ ใจกลางเมืองกุ้ยหลิน ที่เรือจะเลาะลอดใต้สะพานที่สวยงาม หลากหลายรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งแบบโบราณและร่วมสมัย พถร้อมแสงสีไฟประดับประดาเจดีย์เงิน เจดีย์ทอง ที่สว่างไสวยามค่ำคืน ในอดีตกุ้ยหลินเป็นจุดหมายปลายทางของกวี ศิลปินและจิตรกรชื่อดัง ที่มาค้นหาแรงบันดาลและสร้างสรรค์ผลงานที่นี่ จนกระทั่งถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า จิตรกรใดที่ยังไม่เคยมาเมืองกุ้ยหลิน จะไม่สามารถวาดรูปขุนเขาให้สวยงามได้เลย ข้ามผ่านยุคสมัย เสน่ห์ของกุ้ยหลิน ยังตราตรึงผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาสัมผัสคำร่ำลือของสถานที่ท่องเที่ยว ที่ชาวจีนยกย่องให้เป็น "ซื่อไหว้เถาหยวน" หรือ "เมืองสวรรค์บนพิภพ" รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่หลั่งไหลไปเที่ยวที่นี่ จนเป็นที่คุ้นเคยของพ่อค้าแม่ค้าในย่านชอปปิง โดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่บินตรงสู่กุ้ยหลินสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ทุกวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ สำหรับช่วงนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2552 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพ-กุ้ยหลิน เริ่มต้นที่คนละ 8,600 บาท สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซด์ที่ www.bangkokair.com--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)